เกาะติดประเด็นร้อน “เลือกตั้งมาเลเซีย 2013” (5)
สรุปสถานการณ์: (อัพเดท 6 พ.ค. 10.50 น.) เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า
ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 ของมาเลเซีย พรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็นที่นำโดยพรรคอัมโนจะได้จัดตั้งรัฐบาลอีกสมัย
หลังจากที่พรรคอัมโนแกนนำพรรคร่วมรัฐบาครองอำนาจบริหารประเทศมาอย่างยาวนานถึง 56
ปีแล้ว
คืบหน้าล่าสุด: (อัพเดท 6 พ.ค. 10.50 น.)
ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13
ของมาเลเซียพรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็นได้ทั้งหมด 133 ที่นั่ง แนวร่วมฝ่ายค้านได้ 89
ที่นั่ง คะแนนที่แนวร่วมฝ่ายค้านได้เพิ่มส่วนใหญ่เป็นคะแนนจากพวกเชื้อสายจีน พรรค DAP (สมาชิกส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายจีน) ได้ 38 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นถึง 9 ที่นั่ง จาก 29
ที่นั่งเดิมเมื่อปี 2008 นายกฯ นาจิบยอมรับว่าพวกเชื้อสายจีนเทคะแนนให้แนวร่วมฝ่ายค้าน
และเห็นว่าผลการเลือกตั้งสะท้อนการแบ่งขั้วตามเชื้อสายมากขึ้น
(GE13: It’s 133 for BN and 89 for Opposition,The Star)
วิเคราะห์: (อัพเดท 6 พ.ค.
10.50 น.)
ผลการเลือกตั้งตรงกับความเห็นของนักวิเคราะห์หลายคนที่การคาดการณ์พรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็นจะได้จัดตั้งรัฐบาลต่ออีกสมัย
แม้พรรคร่วมรัฐบาลชนะการเลือกตั้งเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลต่ออีกสมัย
แต่มีที่นั่งในสภาลดลง หากคำนวณโดยยึดผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน (2008) ครั้งนั้นพรรคร่วมรัฐบาลได้ 140
ที่นั่งจากจำนวนทั้งสิ้น 222 ที่นั่ง ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ 82 ที่นั่ง
พรรคร่วมรัฐบาลสูญเสีย 58 ที่นั่ง เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1969 ที่พรรคร่วมรัฐบาลสูญเสียสถานะเสียงข้างมากสองในสามในรัฐสภา
การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคร่วมรัฐบาลได้เพียง 133 ที่นั่ง ลดลง 7 ที่นั่ง หรือลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแนวร่วมฝ่ายค้านจากเดิมที่ 82 ที่นั่ง ได้มาเป็น 89 ที่นั่ง เพิ่มขึ้น 7 ที่นั่ง หรือเพิ่มขึ้น 8.5
เปอร์เซ็นต์
จากที่นั่งแต่ละฝ่ายได้
มีประเด็นดังนี้
1. พรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็นที่นำโดยพรรคอัมโนชนะการเลือกตั้ง
สามารถจัดตั้งรัฐบาลต่ออีกสมัย แต่ได้ที่นั่งลดลงติดต่อกันสองรอบการเลือกตั้ง
คือปี 2008 กับ 2013
2. นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซะก์พลาดเป้าจะต้องได้เสียงอย่างน้อยสองในสาม
นายกฯ นาจิบในฐานะหัวหน้าพรรคอัมโน
แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศชัดในระหว่างกรหาเสียงว่าจะต้องกลับมาได้เสียงข้างมากสองในสามในสภา
แต่ผลคือนอกจากไม่ได้ตามเป้าแล้วยังได้ที่นั่งลดลงอีก 7 ที่นั่ง คำถามคือนายกฯ
นาจิบจะได้ดำรงตำแหน่งต่อหรือต้องแสดงความรับผิดชอบตามรอยอดีตนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ที่ลาออกหลังพรรคร่วมรัฐบาลได้สูญเสียที่นั่งสภาจำนวนมากแม้ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม
3. แนวร่วมฝ่ายค้านได้ที่นั่งเพิ่มอีก 7
ที่นั่งตอกย้ำบริบทว่าการเมืองมาเลเซียไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ตลอดประวัติศาสตร์ 50
กว่าปีที่พรรคอัมโนสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาโดยตลอดด้วยคะแนนมากกว่าสองในสามในสภา
บัดนี้ผลจากการเลือกตั้งทั่วไปสองครั้ง (2008 กับ 2013) แสดงผลยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่อาจได้คะแนนเสียงข้างมากสองในสามอีกแล้ว
ชัยชนะของแนวร่วมฝ่ายค้านเมื่อปี 2008 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
4. ความน่าหวั่นใจของพรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็น
แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะได้จัดตั้งรัฐบาลต่ออีกสมัย
แต่เป็นภาวะถดถอยของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจน การเลือกตั้งทั่วไปสองครั้งพรรคร่วมรัฐบาลได้ที่นั่งในสภาลดลงเรื่อยๆ
หากคิดในแง่ร้ายในอนาคตพรรคร่วมรัฐบาลบีเอ็นจะสูญเสียเสียงข้างมากในสภา
และกลายเป็นฝ่ายค้านเสียเองในที่สุด
5. โจทย์ของแนวร่วมฝ่ายค้าน
เลือกตั้งครั้งนี้แนวร่วมฝ่ายค้านได้ 89 ที่นั่ง หากจะจัดตั้งรัฐบาลต้องมีคะแนนกึ่งหนึ่งของสภาคือ หรือจะต้องได้ 112
ที่นั่ง หรือเท่ากับจะต้องได้เพิ่มอีกอย่างน้อย 23 ที่นั่ง หรือเท่ากับจะต้องเพิ่มขึ้นอีกราวร้อยละ 26
ประเด็นคือนายอันวาร์ อิบราฮิมแกนนำฝ่ายค้าน
ปัจจุบันมีอายุ 65 ปีแล้ว หากต้องรอเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าซึ่งอาจจะต้องรออีก 5
ปี เมือนั้นเขาจะมีอายุ 70 ปี ในประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซียไม่เคยมีผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวัยขนาดนั้น
จากนี้ไปการเมืองมาเลเซียจะเข้มข้นต่อไป
ต้องติดตามว่าแต่ละฝ่ายจะเดินหน้าอย่างไร
6 พฤษภาคม 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
-------------------
บทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง:
ภายใต้การนำของนายอันวาร์
อิบราฮิมทำให้แนวร่วมฝ่ายค้านให้ได้ที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นถึง 3
เท่าตัวในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2008 เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ประชาชนที่สนับสนุนแนวร่วมฯ
เชื่อว่าพวกเขามีโอกาสโค่นล้มการบริหารประเทศที่พรรคอัมโนเป็นแกนนำตลอด 56 ปี แต่ความหวังนั้นมีอุปสรรค
ปัญหาหลายประการ
(อัพเดท 6 พ.ค. 00.30 น.) ถ้าผลคะแนนพรรคร่วมรัฐบาลไม่ชนะขาด สังคมอาจเกิดภาวะเสถียรภาพสั่นคลอนชั่วขณะ
-----------------------------