ชาตินิยมกับคลั่งชาติต่างกันอย่างไร
ชาตินิยมเป็นรากฐานการอยู่ร่วมกัน ประเทศไม่ได้ให้ทุกอย่างดังหวัง แต่ดีกว่าคนสิ้นชาติ ไม่เหลือประเทศกับคนรักให้ปกป้อง พวกคลั่งชาติจะรุกรานผู้อื่น
ตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คำว่า “ชาติ” (nation) เน้นความหมายกลุ่มคนในสังคมที่มีความสัมพันธ์ทางเชื้อสาย
มีภาษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วม ก่อความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ช่วยเหลือกัน และมีเอกลักษณ์ทางด้านรูปร่างหน้าตา
ภาษา พฤติกรรม เช่น คนไทยพูดภาษาไทย มีวัฒนธรรมไทย
ชาตินิยม
(Nationalism) คือความรักชาติของตน รักในประเพณี วัฒนธรรม
คุณค่าที่ยึดถือ มักอยู่คู่ความเป็นชาติเป็นประเทศ
ชาติเป็นสิ่งสมมุติ:
ชาติเป็นสิ่งสมมุติ
แต่หากไร้ชาติจะตกอยู่ในอันตรายและอาจไร้ประเทศ เพราะชาติคือต้นเหตุอยู่ร่วมกันเป็นประเทศ
มีความปลอดภัยมั่นคงร่วมกัน โรฮีนจา (Rohingya) ในเมียนมาคือตัวอย่างคนไร้รัฐไร้ประเทศที่อยู่ใกล้ไทย
พวกเขาไม่ถูกนับว่าเป็นพลเมือง ขาดสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่มีใครปกป้อง
ประวัติศาสตร์โลกสอนว่าหากไม่รักชาติ
คนในชาติไม่ร่วมมือร่วมใจ ทำลายกันเอง ประเทศนั้นย่อมอ่อนแอ ไม่พัฒนา และพังทลายในที่สุด
ไม่ทำลายตัวเองก็ถูกข้าศึกยึดครอง การสร้างสำนึกรักชาติจึงสำคัญ
หากไร้ชาติไทย
ไม่อยากอยู่ร่วมกันเป็นประเทศ คนไทย 70 ล้านคนจะต้องกระจัดกระจาย
บางคนไปสังกัดเมียนมา คนภาคตะวันตกเฉียงเหนือคงเข้าสังกัดสปป.ลาว บางจังหวัดอาจเข้าร่วมกับกัมพูชา
ส่วนภาคใต้ตอนล่างคงกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย มหาอำนาจเข้าควบคุมปกครอง
เป็นรัฐล้มเหลวหรือไม่มีรัฐ (ประเทศ)
ความรักชาติเข้าใจไม่ยาก ถ้าคนในครอบครัวไม่รักกัน
พ่อแม่จะไม่ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้ดี พี่น้องทะเลาะกันแทนที่จะช่วยเหลือกัน
สุดท้ายต่างคนต่างอยู่ สู้ครอบครัวที่อยู่ร่วมกันดูแลกันและกันไม่ได้
ความคิดชาตินิยมทำให้ยินดีเสียสละเพื่อประเทศ
ดีกว่าคนสิ้นชาติ ไม่เหลือประเทศกับคนรักให้ปกป้อง ประวัติศาสตร์โลกเต็มด้วยอารยธรรมโบราณ
อาณาจักรที่เหลือแค่ประวัติศาสตร์ให้ชนรุ่นหลังศึกษาว่าทำไมจึงล่มสลาย ถูกยึดครองทำลาย
ชาตินิยมเป็นหลักสากล:
ความรักชาติหรือชาตินิยมไม่ใช่ของแปลกหรือล้าสมัย ทุกประเทศล้วนส่งเสริมให้คนรักชาติ
มหาอำนาจสหรัฐยึดหลักชาตินิยมเรื่อยมา
สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald
Trump) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2017 (ทรัมป์สมัยแรก) ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
‘อนาคตของอเมริกาและของโลกขึ้นกับการตัดสินใจร่วมของคนทั้งชาติ
เราจะเผชิญหน้าความท้าทาย เผชิญหน้าความยากลำบาก แต่เราจะสำเร็จ
...เราเป็นคนชาติเดียวกัน ความเจ็บปวดของพวกเขาคือความเจ็บปวดของพวกเรา
ความฝันของพวกเขาคือความฝันของพวกเรา และความสำเร็จของพวกเขาเป็นความสำเร็จของพวกเรา
เรามีหัวใจเดียวกัน มีบ้านเดียวกัน และอนาคตอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน’
วิเคราะห์: ชาติที่ประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยถึง
คือการอยู่ร่วมกันด้วยความผูกพัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ คนอาจแตกต่างกัน
ความคิดเห็นหลากหลาย แต่ไม่แตกแยก เสรีประชาธิปไตยส่งเสริมความคิดเห็นส่วนตัว
บ่อยครั้งคิดต่างกัน แต่ปรารถนาอยู่ร่วมกันต่อไป ด้วยความหวังดีต่อกัน
ตระหนักว่าต้องร่วมกันสร้างอนาคตจึงจะมีอนาคตที่ดี ดังที่ทรัมป์กล่าวว่าอนาคตของชาติต้องตัดสินใจร่วมกัน
เผชิญหน้าด้วยกัน อยู่ในบ้าน “อเมริกา” หลังใหญ่เดียวกัน
อย่างไรเรียกว่าคลั่งชาติ:
คลั่งชาติ
(Ultranationalism/Chauvinism) คือชาตินิยมที่นำประเทศสู่ความก้าวร้าว
นิยมความรุนแรง ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสันติภาพโลก
คลั่งชาติมีลักษณะดังนี้
ประการแรก
คิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าอย่างรุนแรง
เป็นธรรมดาที่ทุกประเทศมีอารยธรรมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
มีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง เชิดชูชาติของตน พวกคลั่งชาติมีความเชื่อฝังหัวว่าชาติของตนเหนือกว่าชาติอื่นๆ
ทั้งหมด และเหนือกว่าทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม เชื้อชาติ หรือความสามารถ
ฮิตเลอร์เชื่อว่าคนเยอรมันคือเชื้อสายดีที่สุดของโลก
อ้างว่าเป็นชนเชื้อสายอารยัน (Aryan) ที่แท้จริง
จึงต้องปกป้องชนเชื้อสายตนและกำจัดชนเชื้อสายอื่น เช่น คนผิวดำ คนเอเชีย พวกยิว
และคนกลุ่มอื่นๆ ที่สังคมไม่ต้องการ เช่น พวกเกย์
การที่นาซีฆ่ายิวเพราะต้องการทำลายเชื้อชาติยิว ที่อยู่ในประเทศเยอรมันในสมัยนั้น
ประการที่
2 มองผู้อื่นเป็นปรปักษ์
เป็นปกติที่ประเทศมักมีข้อขัดแย้งกับประเทศรอบข้าง
แต่จะพยายามอยู่ร่วมกันไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย แต่พวกคลั่งชาติมักแสดงความเป็นปฏิปักษ์
หวาดระแวง ดูหมิ่นคนชาติอื่นหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น มองประเทศเพื่อนบ้านเป็นภัยคุกคามร้ายแรงทั้งๆ
ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สาเหตุหนึ่งที่ฮิตเลอร์ทำสงครามโลกครั้งที่ 2
ก็เพื่อทำลายประเทศที่คิดว่าเป็นภัยต่อตนเอง คิดว่าพวกสลาฟ (Slavs) เป็นภัย เป็นอีกเหตุผลให้ฮิตเลอร์บุกโซเวียตรัสเซีย
ประการที่
3 ชอบใช้กำลัง
ด้วยความคิดว่าถ้าไม่เป็นมิตรก็ต้องเป็นศัตรู
ศัตรูเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจึงต้องทำลาย พวกคลั่งชาติสนับสนุนทำสงครามในเชิงรุกราน
แผ่ขยายอาณาจักร ประวัติศาสตร์ผู้ปกครองที่ชอบรุกรานจะปลุกเร้ากระแสชาตินิยมสุดโต่ง
(radical nationalism) หรือคลั่งชาตินั่นเอง
รัฐบาลที่ยึดแนวทางคลั่งชาติ
สังเกตได้จากมีกองทัพใหญ่โต เห็นว่าการทำสงครามเป็นเรื่องดี มีประวัติทำสงครามบ่อยครั้ง
นโยบายต่างประเทศก้าวร้าว ชอบข่มขู่คุกคาม ชอบทำสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
โดยไม่คำนึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หวังสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ เป็นจักรวรรดินิยม
ประการที่ 4 การกดขี่ภายในประเทศ
พวกคลั่งชาติไม่เคารพสิทธิมนุษยชน
ชอบกดขี่ชนกลุ่มน้อย ไม่เคารพความเห็นต่าง มองผู้เห็นต่างเป็นศัตรู
ประการที่
5 ไร้เหตุผล
พวกคลั่งชาติจะยึดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ
คนอื่นผิดหมด (ไม่ยอมรับความเห็นต่าง ไม่ยอมรับเสรีภาพทางความคิด)
ชอบอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ไม่ยึดถือหลักการจริง (พวกนี้เลือกใช้หลักการที่เข้ากับเหตุผลเฉพาะเรื่องเฉพาะประเด็น
มักเปลี่ยนหลักการไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นพวกไม่มีหลักการจริง)
จะยืนกระต่ายขาเดียวว่าตัวเองถูก แม้มีเหตุผลคัดค้านหรือหลักฐานขัดแย้ง
จะเห็นว่า ชาตินิยมหรือความรักชาติอยู่คู่กับการดำรงอยู่ของประเทศ
ส่วนพวกคลั่งชาติมักมองคนอื่นเป็นศัตรู ชอบรุกราน ชอบยึดครองแผ่นดินหรือครอบงำผู้อื่น
2 แบบแตกต่างชัดเจน
ชาตินิยมขยายอำนาจ:
ในทางวิชาการแบ่งชาตินิยมหลายรูปแบบ
ชาตินิยมขยายอำนาจ (Expansionist Nationalism) คือรูปแบบหนึ่ง
เน้นการขยายอำนาจด้วยการยึดดินแดน ยึดประชากรประเทศอื่นมาเป็นของตน เพื่อสร้างเกียรติภูมิและขยายความยิ่งใหญ่ของประเทศ
เบนิโต
มุสโสลินี (Benito Mussolini) ผู้นำอิตาลีเป็นตัวอย่างผู้ยึดแนวทางนี้
เห็นว่าการทำสงครามเป็นเรื่องดี ทำให้ชาติกระชุ่มกระชวย เข้าร่วมกับฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่
2
จะเห็นว่า
ชาตินิยมขยายอำนาจคือแนวทางของพวกคลั่งชาติ ส่วนการปกป้องอธิปไตยเป็นเรื่องของคนรักชาติ
ปรารถนาดีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ใช่พวกยุยงบ่อนทำลาย
รักชาติกับคลั่งชาติแยกออกได้ชัดเจน
----------------
1. สมเกียรติ วันทะนะ. (2551) อุดมการณ์ทางการเมืองร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: อักษรข้าวสวย.
2. FULL
TEXT: President Donald Trump's Inauguration Speech. (2017, January 20). ABC
News. Retrieved from http://abcnews.go.com/Politics/full-text-president-donald-trumps-inauguration-speech/story?id=44915821
3.
Hoffman, John., Graham, Paul. (2015). Introduction to Political Theory
(3rd Ed.). Oxon: Routledge.
4. Panayi,
Panikos. (2001). Immigration. In Encyclopedia of European Social History.
(vol.2, pp. 538-544). New York: Charles Scribner’s Sons.
5. Ripley,
Tracy L. (2014). Fascism. In Government and the Economy: An Encyclopedia.
(pp.99-101). USA: ABC-CLIO, LLC.