ไม่นานหลังจากเขตกึ่งปกครองตนเองไครเมียประกาศแยกตัวออกจากยูเครน
และรัสเซียผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ กระแสการเคลื่อนไหวในหลายเมืองในภูมิภาคยูเครนตะวันออกก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่นิยมชมชอบรัสเซียเข้าบุกยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง
พร้อมกับประกาศลงประชามติ
ความจริงแล้ว
กระแสการลงประชามติของหลายเมืองในยูเครนตะวันออกไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดพร้อมๆ กับกระแสการเคลื่อนไหวของไครเมีย
แต่เนื่องจากสื่อในขณะนั้นให้ความสำคัญกับไครเมียมากกว่า
กอปรกับการเคลื่อนไหวในไครเมียนั้นเข้มข้นและจริงจังกว่า ทำให้ข่าวไครเมียกลบการเคลื่อนไหวของยูเครนตะวันออก
ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไม่แตกต่างกัน
คือ ต้องการลงประชามติเพื่อแยกตัวออกจากประเทศยูเครน และค่อนข้างชัดเจนว่าเพื่อเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย
แต่การเคลื่อนไหวของยูเครนตะวันออกไม่ราบรื่นเหมือนกรณีไครเมีย
ถ้าย้อนกลับพิจารณากรณีไครเมีย การลงประชามติจนถึงการผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียดำเนินอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวดเร็วกระชับมาก หลังจาก (อดีต) ประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) หลบหนีออกนอกประเทศเพียง 1 สัปดาห์ กองกำลังรัสเซียหลายพันนายเข้าควบคุมจุดสำคัญของไครเมียทั้งหมด เช่น สถานที่ราชการ สนามบิน โดยปราศจากการยิงต่อสู้ พร้อมกับการจัดตั้งรัฐบาลไครเมียชุดใหม่ท่ามกลางกองกำลังรัสเซียที่อยู่รายล้อมทำเนียบรัฐบาล 2 สัปดาห์ต่อมา ชาวไครเมียเกือบร้อยละ 97 ลงมติสนับสนุนการแยกตัวออกจากยูเครน จากผู้มีสิทธิ์มากกว่าร้อยละ 80 จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ประธานาธิบดีปูตินลงนามในกฎหมายผนวกสาธารณรัฐไครเมีย (Republic of Crimea) เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) กระบวนการทั้งหมดจบสิ้นใน 1 เดือน
ถ้าย้อนกลับพิจารณากรณีไครเมีย การลงประชามติจนถึงการผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียดำเนินอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวดเร็วกระชับมาก หลังจาก (อดีต) ประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) หลบหนีออกนอกประเทศเพียง 1 สัปดาห์ กองกำลังรัสเซียหลายพันนายเข้าควบคุมจุดสำคัญของไครเมียทั้งหมด เช่น สถานที่ราชการ สนามบิน โดยปราศจากการยิงต่อสู้ พร้อมกับการจัดตั้งรัฐบาลไครเมียชุดใหม่ท่ามกลางกองกำลังรัสเซียที่อยู่รายล้อมทำเนียบรัฐบาล 2 สัปดาห์ต่อมา ชาวไครเมียเกือบร้อยละ 97 ลงมติสนับสนุนการแยกตัวออกจากยูเครน จากผู้มีสิทธิ์มากกว่าร้อยละ 80 จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ประธานาธิบดีปูตินลงนามในกฎหมายผนวกสาธารณรัฐไครเมีย (Republic of Crimea) เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) กระบวนการทั้งหมดจบสิ้นใน 1 เดือน
ในระหว่างนี้
ชาติตะวันตกแสดงท่าทีแข็งกร้าว ขู่ว่ารัสเซียจะต้องจ่ายราคาจากการรุกรานไครเมีย ละเมิดอธิปไตยยูเครน
แต่รัฐบาลปูตินขู่กลับว่าพร้อมตอบโต้ ทั้งยังให้กำลังทหารหลายแสนนายซ้อมรบตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเทียบกับกรณีของยูเครนตะวันออกในขณะนี้
จะเห็นว่าแม้รัฐบาลปูตินสนับสนุนการลงประชามติ แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้รวดเร็วรุนแรงเหมือนกรณีไครเมีย
กองกำลังรัสเซียไม่ได้เข้าควบคุมพื้นที่ กระบวนการลงประชามติยืดเยื้อ
หมากกลของรัสเซีย โจทย์ของชาติตะวันตก
:
ท่ามกลางกระแสเคลื่อนไหวของยูเครนตะวันออก
รัฐบาลปูตินแสดงท่าทีต้องการให้ยูเครนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศปกครองแบบสหพันธรัฐ
(federal state) ดำเนินนโยบายเป็นกลาง แต่ที่ผ่านมาชาติตะวันตกไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
เห็นว่าอนาคตของยูเครนต้องให้ยูเครนตัดสินใจเอง ผลการเจรจาดังกล่าวคงเป็นเหตุให้รัสเซียเดินเกมสนับสนุนให้ยูเครนตะวันออกเคลื่อนไหวยืดเยื้อ
เพื่อขัดขวางการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครน ซึ่งมีกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 25
พฤษภาคม กดดันชาติตะวันตกให้ยอมเข้าสู่กระบวนการเจรจา
นาย Vladimir Chizhov ผู้แทนถาวรของรัสเซียประจำสหภาพยุโรป
กล่าวว่าต้นตอปัญหาความยุ่งยากที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาจาก “ความพยายามที่จะดึงยูเครนเข้าร่วมสหภาพยุโรป”
โดยไม่ใคร่ครวญว่าการทำเช่นนี้จะทำให้สังคมยูเครนแตกแยก
ผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็นในขณะนี้ และเห็นว่ารัฐบาลยูเครน (ที่อิงตะวันตก)
ไม่สนใจดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกกับทางใต้ ที่สุดแล้วไม่ว่ายูเครนจะปกครองด้วยรูปแบบใด
รัฐบาลกลางต้องกระจายอำนาจมากขึ้น ไม่อาจใช้รูปแบบรัฐเดี่ยวได้
เพราะพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอดีตสหภาพโซเวียตเมื่อ 23 ปีก่อน
เมื่อเป้าหมายของรัสเซียไม่ใช่ต้องการให้ยูเครนตะวันออกแยกตัว
แต่ต้องการให้ประเทศยูเครนเป็นสหพันธรัฐ หรือให้ท้องถิ่นมีอำนาจปกครองตนเอง
(อาจเป็นเขตกึ่งปกครองตนเอง อย่างกรณีไครเมีย) การเดินเกมลงประชามติจึงยืดเยื้อ แต่หากชาติตะวันตกไม่ยอมรับข้อเสนอของรัสเซีย
ที่สุดแล้วรัฐบาลปูตินอาจตัดสินใจสนับสนุนให้ยูเครนตะวันออกแยกตัวออกจากประเทศยูเครน
เมื่อถึงขั้นนั้น ยังมีประเด็นทางเลือกตามมาอีก เช่น จะให้ยูเครนตะวันออกหรือสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์
(People's Republic of Donetsk) เป็นประเทศเกิดใหม่
หรือจะผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ถ้าวิเคราะห์ตามแนวทางข้างต้น
การปล่อยให้เป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ จะเป็นทางเลือกที่เกิดการเผชิญหน้าน้อยกว่า
เพราะรัสเซียอาจไม่ต้องส่งทหารเข้าควบคุมพื้นที่ เพียงแต่สนับสนุนด้านเศรษฐกิจ
การเมืองระหว่างประเทศ โดยได้รัฐกันชนตามที่ต้องการ
ส่วนยูเครนที่เหลือตกอยู่ใต้อิทธิพลของชาติตะวันตก แนวทางนี้น่าจะเป็นเงื่อนไขที่ชาติตะวันตกยอมรับได้มากกว่า
ประเทศยูเครนในอนาคตจึงอาจถูกแบ่งแยกดินแดนเช่นนี้
แม้ไม่ใช่ยุคสงครามเย็นในอดีต แต่การแข่งขันช่วงชิงอำนาจของบรรดาชาติมหาอำนาจยังดำรงต่อเนื่อง
ยูเครนคือเหยื่อของการช่วงชิงล่าสุด
สถานการณ์ในขณะนี้
จึงเป็นเรื่องที่ชาติตะวันตกต้องแก้ไขโจทย์หรือหมากกลที่รัสเซียตั้งไว้อีกครั้ง ชาติตะวันตกอยู่ในภาวะเช่นเดิม
คือมีเครื่องมือดำเนินนโยบายน้อย (หรือมีกำลังน้อย) เพราะรัฐบาลโอบามากับรัฐบาลชาติสมาชิกสหภาพยุโรปไม่คิดทำสงคราม
ได้แต่ส่งเรือรบ เครื่องบินไปเวียนวนรอบๆ เพียงเล็กน้อย ในขณะที่กองทัพรัสเซียนับหมื่นนับแสนกำลังซ้อมรบตามแนวชายแดน
ไม่ต่างจากแนวทางการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการเมือง ที่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนไม่แน่ใจว่าเป็นเพียงคำขู่หรือไม่ ส่วนที่ดำเนินการแล้วก็ไม่ได้ผลแล้ว
(พิสูจน์ได้จากการที่รัสเซียยังคงเดินหน้าเรื่อยๆ) ทั้งยังต้องตระหนักว่าการคว่ำบาตรไม่ได้ส่งผลทางเดียว
ยิ่งคว่ำบาตรรัสเซียรุนแรงเพียงใด ผลสะท้อนกลับต่อประเทศตนจะยิ่งรุนแรงเพียงนั้น
ดังทฤษฎีกลศาสตร์ที่บอกว่า “action = reaction”
ในขณะเดียวกัน แม้รัสเซียมีเครื่องมือและพร้อมใช้เครื่องมือของตนเอง แต่ในทางการเมืองระหว่างประเทศ
รัสเซียย่อมตระหนักว่าไม่ควรใช้กำลังเพื่อผนวกดินแดนของประเทศอื่นเข้าเป็นของตนเอง
ไม่ว่ารัฐบาลรัสเซียจะอ้างเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผลต่อรัสเซียในระยะสั้นอาจไม่มาก
แต่ในระยะยาวแล้ว ไม่มีชาติใดในโลกอยากเห็นประเทศที่ใช้กำลังรุกรานอธิปไตยประเทศอื่นๆ
ภาวะชะงักงันในปัจจุบัน :
สถานการณ์การเมืองยูเครนในขณะนี้คือ
มีเหตุให้ประชาชนเข้าคูหา 2 อย่าง คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนในวันที่ 25
พฤษภาคม ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วประเทศ กับการลงประชามติแยกตัวของหลายเมืองในภูมิภาคยูเครนตะวันออก
ท่ามกลางความวุ่นวายในยูเครนตะวันออก การปะทะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทำให้ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมกับกองกำลังยูเครนเสียชีวิตรวมกันหลายสิบราย รัฐบาลสหรัฐกับพันธมิตรยุโรปขอให้ยูเครนเดินหน้าจัดเลือกตั้งในวันที่
25 พฤษภาคม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าการเลือกตั้งจะไม่สมบูรณ์ และไม่อาจประกาศผลการเลือกตั้ง
หรือได้ผลการเลือกตั้งที่ผู้ชุมนุมประท้วงไม่ยอมรับ
ล่าสุด ประธานาธิบดีปูตินขอให้เลื่อนการลงประชามติในวันที่ 11
พฤษภาคมไปก่อน เป็นไปได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลยูเครนกับชาติตะวันตกขอเวลาตัดสินใจอีกเล็กน้อย
เนื่องจากชาติตะวันตกประกอบด้วยหลายชาติ โครงสร้างตัดสินใจซับซ้อน
ประธานาธิบดีปูตินจึงเห็นสมควรเลื่อนการลงประชามติไปก่อน
และในอีกมุมหนึ่งคือ
การแยกตัวไม่ใช่เป้าหมายที่รัสเซียต้องการในขณะนี้
แต่ไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังคืออะไร
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 25 พฤษภาคมคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทางออกมีทางเดียว
คือ เจรจา
ปัญหายูเครนไม่ใช่การลงประชามติหรือเลือกตั้ง
:
การเลือกตั้งประธานาธิบดีหรือการลงประชามติแยกตัว
เป็นขั้นตอนหนึ่งเพื่อให้ประเทศยูเครนเดินหน้าต่อ (หรือสร้างปัญหามากขึ้น)
แต่เป็นเพียงกระบวนการเล็กๆ กระบวนการหนึ่งเท่านั้น ยังมีเรื่องที่สังคมยูเครนต้องไตร่ตรอง
ต้องทำอีกมาก เช่น ถ้าได้ประธานาธิบดีคนใหม่ รัฐบาลชุดใหม่ แต่ยังคอร์รัปชันเหมือนเดิม
การเลือกตั้งเท่ากับให้โอกาสนักการเมืองเข้ากอบโกย กดขี่ขูดรีดประชาชน
ซ้ำรอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ลำพังการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประเทศ
การพูดแบบง่ายๆ
ว่าหากเข้าเป็นสมาชิกอียู ปัญหาประเทศจะได้รับการแก้ไข ควรพิจารณาความจริงว่า ณ
ขณะนี้อียูมีปัญหาเรื้อรังเช่นกัน ชาติสมาชิกหลายประเทศยังไม่ได้แก้ไขรากปัญหาเศรษฐกิจสังคมของตน
เป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ
เมื่อเดือนก่อน ประธานาธิบดีปูตินออกจดหมายถึงผู้นำประเทศยุโรป 18 ประเทศ
(ทั้งยุโรปตะวันออกกับยุโรปตะวันตกบางประเทศ) บรรยายว่า
“เศรษฐกิจยูเครนเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาย่ำแย่ลงต่อเนื่อง ภาคอุตสาหกรรมกับก่อสร้างทรุดตัวอย่างรวดเร็ว
ขาดดุลงบประมาณมากขึ้น” กระทบต่อค่าเงิน เงินทุนไหลออกจากประเทศ ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่วิกฤต
“ผลผลิตลดลง คนตกงานมากขึ้น” การที่เศรษฐกิจยูเครนเป็นเช่นนี้
เนื่องจากความไม่สมดุลทางการค้ากับรัฐสมาชิกอียู อียูใช้ยูเครนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
เป็นตลาดระบายสินค้ามูลค่าสูง การค้าที่ไม่สมดุลทำให้เมื่อปีที่แล้วยูเครนเสียดุลการค้าถึง
1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 2 ใน 3 ของการขาดดุลทั้งหมด
การเข้าเป็นสมาชิกอียูจึงไม่ใช่ยาวิเศษแต่ประการใด
และสังคมยูเครนควรพิจารณาโดยรอบคอบว่าการเข้าเป็นสมาชิกอียูในขณะนี้จะเป็นประโยชน์มากน้อยเพียงใด
เช่นเดียวกับที่ต้องพิจารณานโยบายอื่นๆ ที่นักการเมืองเสนอด้วยถ้อยคำสวยหรู ไม่ลืมว่าวันนี้ที่ประเทศอยู่ในภาวะถังแตกก็ด้วยนโยบายต่างๆ
ที่เคยเสนอมามิใช่หรือ
ส่วนการลงประชามติของยูเครนตะวันออก
ชาวยูเครนที่สนับสนุนการลงประชามติครั้งนี้ควรตระหนักว่า
ไม่อาจเปรียบเทียบกรณีของตนเองเหมือนอย่างไครเมีย หนทางข้างหน้ายังไม่แน่นอน ท่าทีของรัฐบาลปูตินนั้นชัดเจนอยู่แล้ว
ถ้าตั้งแต่เมื่อ 23 ปีก่อน ประชาชนยูเครนสนใจมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่มัวเห็นแต่ปากท้องของตนเอง
มีกลุ่มพลังทางสังคมที่เข้มแข็ง ร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สังคมมีเอกภาพ พยายามอยู่ร่วมเป็นคนชาติเดียวกัน
ไม่ปล่อยให้ความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ
ภาษาเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแบ่งแยก ดึงเป็นฐานเสียง ดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นมิตรกับทั้งรัสเซียและชาติตะวันตก
วันนี้ยูเครนคงไม่ประสบชะตากรรมถูกแบ่งแยกทั้งจากอำนาจภายในกับภายนอกประเทศ
ประเทศถังแตก เกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย กลายเป็นรัฐล้มเหลวอย่างที่เห็นในขณะนี้
เป็นอีกหนึ่งบทเรียนเตือนสติแก่ประเทศอื่นๆ
มิใช่หรือ
11 พฤษภาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6396 วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2557)
------------------------------
รัฐบาลรักษาการยูเครนดำเนินนโยบายที่อิงฝ่ายชาติตะวันตกอย่างเต็มที่ ใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อดึงให้ชาติตะวันตกเข้ามาปกป้องอธิปไตย ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ แน่นอนว่าชาติตะวันตกได้ประโยชน์จากการนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายที่ได้ประโยชน์แน่นอนคือพวกของอดีตนายกฯ ทีโมเชงโก ที่สามารถยืมมือชาติตะวันตกมาอยู่กับพวกตน
2. เกมรุกของปูตินกับข้อวิพากษ์ต่อสถานการณ์ในยูเครน
2. เกมรุกของปูตินกับข้อวิพากษ์ต่อสถานการณ์ในยูเครน
รัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีปูติน ได้ควบคุมไครเมียและพร้อมส่งกองทัพข้ามพรมแดนไปยังฝั่งยูเครนตะวันออก เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลตะวันตกคาดการณ์มานานแล้ว เพราะในมุมมองของรัสเซียประเทศยูเครนเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางด้านความมั่นคงที่สำคัญ สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้จึงเป็นการให้บทเรียนแก่ชาติตะวันตก ว่ารัสเซียจะไม่ยอมปล่อยยูเครนให้อยู่ใต้อิทธิพลฝ่ายตะวันตกอย่างง่ายๆ และควรรู้ว่าอะไรคือ “เส้นต้องห้าม”
3. เบี่ยงปัญหายูเครน เบนจากทางออกสู่ทางตัน
วิกฤตยูเครนเป็นมากกว่าเรื่องการเมืองภายในประเทศ การผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สหรัฐต่อรัสเซีย นโยบายขยายสมาชิกสู่ตะวันออกของนาโต อียู และยุทธศาสตร์รัฐกันชนของรัสเซีย การแก้ปัญหายูเครนที่ถูกจุดจึงเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้
4. ความล้มเหลวของการปกครองและรัฐบาลคือภัยร้ายของยูเครน
ยูเครนได้รับเอกราชและเปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตยในสภาพที่ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ นำสู่การบริหารประเทศที่ฝ่ายบริหารกับรัฐสภาเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจนโยบายสำคัญๆ โดยปราศจากระบบหรือกลไกควบคุม การล้มเหลวของรัฐบาลมือใหม่สร้างปัญหาเศรษฐกิจการเมืองก่อให้เกิดการเมืองแบบ 2 ขั้วที่ไม่อาจร่วมมือกันเพื่อสร้างชาติ กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา การปกครองล้มเหลว
5. ท่าที การดำเนินนโยบายของ G7 ต่อวิกฤตยูเครนและผลลัพธ์ที่ได้
ถ้ามองในแง่ดี คือ กลุ่ม G7 ระมัดระวังไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างรุนแรง แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจวิพากษ์ว่ากลุ่ม G7 เกรงว่ามาตรการคว่ำบาตรอย่างจริงจังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของพวกตน ท้ายที่สุดแล้ว กรณียูเครนที่เป็นตัวอย่างล่าสุดที่เตือนใจองค์การระหว่างประเทศของประเทศเล็กๆ ทั้งหลายว่าจำต้องมีเอกภาพ ไม่สร้างเงื่อนไขให้ชาติมหาอำนาจเข้ามา “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
3. เบี่ยงปัญหายูเครน เบนจากทางออกสู่ทางตัน
วิกฤตยูเครนเป็นมากกว่าเรื่องการเมืองภายในประเทศ การผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สหรัฐต่อรัสเซีย นโยบายขยายสมาชิกสู่ตะวันออกของนาโต อียู และยุทธศาสตร์รัฐกันชนของรัสเซีย การแก้ปัญหายูเครนที่ถูกจุดจึงเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้
4. ความล้มเหลวของการปกครองและรัฐบาลคือภัยร้ายของยูเครน
ยูเครนได้รับเอกราชและเปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตยในสภาพที่ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ นำสู่การบริหารประเทศที่ฝ่ายบริหารกับรัฐสภาเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจนโยบายสำคัญๆ โดยปราศจากระบบหรือกลไกควบคุม การล้มเหลวของรัฐบาลมือใหม่สร้างปัญหาเศรษฐกิจการเมืองก่อให้เกิดการเมืองแบบ 2 ขั้วที่ไม่อาจร่วมมือกันเพื่อสร้างชาติ กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา การปกครองล้มเหลว
5. ท่าที การดำเนินนโยบายของ G7 ต่อวิกฤตยูเครนและผลลัพธ์ที่ได้
ถ้ามองในแง่ดี คือ กลุ่ม G7 ระมัดระวังไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างรุนแรง แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจวิพากษ์ว่ากลุ่ม G7 เกรงว่ามาตรการคว่ำบาตรอย่างจริงจังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของพวกตน ท้ายที่สุดแล้ว กรณียูเครนที่เป็นตัวอย่างล่าสุดที่เตือนใจองค์การระหว่างประเทศของประเทศเล็กๆ ทั้งหลายว่าจำต้องมีเอกภาพ ไม่สร้างเงื่อนไขให้ชาติมหาอำนาจเข้ามา “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
1. Crimea official says 96.8 percent of
voters support joining Russia. (2014, March 17). Fox News/AP. Retrieved from
http://www.foxnews.com/world/2014/03/17/crimea-official-says-66-percent-voters-support-joining-russia/
2. Crisis in Ukraine result of wrong EU policy - Russian
envoy. (2014, April 9). ITAR-TASS. Retrieved from http://en.itar-tass.com/russia/727116
3. Putin signs laws on reunification of Republic of Crimea
and Sevastopol with Russia. (2014, March 21). ITAR-TASS. Retrieved from
http://en.itar-tass.com/russia/724785
4. Ukraine crisis: President Putin gets Russian parliament's
nod to send military into Crimea. (2014, March 1). Hindustan Times.
Retrieved from
http://www.hindustantimes.com/world-news/russian-parliament-allows-putin-to-use-military-in-ukraine/article1-1189678.aspx
5. Ukraine crisis: US-Russia deadlock despite 'frank' talks.
(2014, March 30). BBC. Retrieved from http://www.bbc.com/news/world-europe-26814651
6. Ukraine Steadfastly Heading Toward Default – Putin.
(2014, April 10). RIA Novosti. Retrieved from
http://en.ria.ru/world/20140410/189148157/Ukraine-Steadfastly-Heading-Toward-Default--Putin.html
7. U.S. And EU Back Ukraine Ballot as Russia Calls for
Delay. (2014, May 7). Bloomberg. Retrieved from http://www.bloomberg.com/news/2014-05-07/u-s-presses-ukraine-to-hold-vote-as-russian-seeks-delay.html
---------------------------