เมื่อโรฮีนจากลายเป็นเรื่องของอาเซียน

ปี 2015 เมื่อเรือผู้อพยพโรฮีนจาแล่นเข้าฝั่ง หลายประเทศใช้วิธีให้อาหารกับน้ำแล้วผลักดันกลับไป กลุ่มสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มกล่าวหาว่าประเทศเหล่านี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน

             หลายคนกำลังสนใจจุดยืนของอาเซียนต่อเมียนมาเรื่องความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับฝ่ายนางออง ซาน ซู จี เอ่ยเรื่องที่อาเซียนแทรกแซงกิจการภายในเมียนมา เป็นความจริงที่อาเซียนแทรกแซงกิจการภายในบางจุดบางประเด็น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทำมาหลายปีแล้วในกรณีผู้อพยพลี้ภัยโรฮีนจา การเข้าใจแนวทางอาเซียนต่อโรฮีนจาจะช่วยเข้าใจท่าทีอาเซียนต่อความขัดแย้งระหว่างฝ่ายกองทัพเมียนมากับฝ่ายนางซูจี ดังนี้

            โดยพื้นฐานแล้วรัฐบาลเมียนมาไม่ยอมรับโรฮีนจาเป็นพลเมือง รัฐบาลทหารเมียนมาเห็นว่าโรฮีนจาคือคนเบงกาลี (Bengalis) ที่อพยพเข้ามาในช่วงที่อังกฤษปกครองพม่า เป็นเรื่องผิดกฎหมายจึงปฏิเสธความเป็นพลเมืองของโรฮีนจา

            การยึดว่าโรฮีนจาเป็นคนเบงกาลีหรือคนธากา (Dhaka) กำลังชี้ว่าพวกโรฮีนจาเป็นคนบังกลาเทศ หรือ “ประเทศของเบงกอล” (Country of Bengal) มีเมืองหลวงชื่อธากา (Dhaka)

ปี ค.ศ. 1982 กฎหมาย Constitutional Act ที่ออกโดยรัฐบาลทหารเมียนมาร์ระบุว่าชาวโรฮีนจาไม่ใช่พลเมืองพม่า (non-citizens of Burma) เว้นแต่พวกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบรรพบุรุษของตนได้อาศัยอยู่ในพม่าก่อนปี 1823 หรือก่อนที่อังกฤษเข้ายึดครองอาระกัน เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ขณะนี้

            นอกจากนี้ควรเข้าใจด้วยว่านางออง ซาน ซูจี นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันโด่งดัง ได้รับหลายรางวัลทั่วโลก ยังพยายามแสดงท่าทีเฉยเมยต่อการกดขี่ข่มเหงโรฮีนจา แต่ไหนแต่ไรท่าทีของพันธมิตรของเธอแสดงออกชัดเจน ดังเช่น กลุ่ม ‘8888 democracy movement’ ออกแถลงการณ์ว่า “โรฮีนจาไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยของเมียนมาร์ ... ไม่ว่าจะทางกรรมพันธุ์ ทางวัฒนธรรมหรือทางภาษา โรฮีนจาไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติใดๆ ในเมียนมาร์”

            ดังนั้นไม่ว่าฝ่ายกองทัพหรือฝ่ายนางซูจีล้วนไม่ยอมรับโรฮีนจาว่าเป็นพลเมืองเมียนมา

 เรือมนุษย์ 2015 :

ย้อนหลังปี 2015 เมื่อเรือผู้อพยพโรฮีนจาแล่นเข้าฝั่ง รัฐบาลหลายประเทศใช้วิธีให้อาหารกับน้ำจำนวนหนึ่งแล้วผลักดันกลับไป กลุ่มสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มกล่าวหาว่าประเทศเหล่านี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ควรที่จะรับโรฮีนจาเหล่านี้เข้าประเทศเป็นผู้อพยพลี้ภัย

การรับผู้อพยพสัก 1,000-2,000 คน ไม่ใช่ปัญหา ที่คิดตรงกันคือ หากรับ 2,000 คนแล้ว อีกไม่นานจะมา 20,000 คน และกลายเป็น 200,000 คน จนสุดท้ายอาจเป็นโรฮีนจาทั้งหมดนับล้านคน และจะมีผู้อพยพอื่นๆ นอกเหนือโรฮีนจา

เรื่องไม่จบเท่านี้ เมื่อรับมาแล้วจะมีคนพูดต่อว่าดูแลพวกเขาดีหรือไม่ จะมีคนพูดว่าอาหารไม่พอ ขาดแพทย์ขาดยา ไม่มีโรงเรียน ครูไม่มีคุณภาพ กีดกั้นสิทธิเสรีภาพ อยู่อย่างไร้อนาคต

            เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ยกตัวอย่างกันยายน 2015 ผู้อพยพลี้ภัยในมาเลเซียชุมนุมประท้วงรัฐบาลมาเลย์ เหตุเนื่องจากพวกเขาไม่มีงานทำ ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลมากพอ ร้องขอความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ อยากได้รับสวัสดิการจากประเทศมาเลเซีย ผู้ลี้ภัยต่างด้าวเหล่านี้ครึ่งหนึ่งเป็นพวกโรฮีนจา

            กฎหมายมาเลเซียถือว่าโรฮีนจาเป็นพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย รอส่งออกจากประเทศ จึงไม่สามารถให้การศึกษาหรือให้งานทำ สิ่งที่โรฮีนจาต้องการมากที่สุดคือได้ทำงานตามกฎหมาย แต่ฝ่ายการเมืองมาเลย์กังวลว่าหากให้งานทำจะเป็นเหตุดึงให้โรฮีนจาเข้าประเทศเพิ่มขึ้นอีก ปัจจุบันมีเป็นแสนคนแล้ว

ประเทศที่รับผู้อพยพลี้ภัยตั้งแต่ต้น ต้องเผชิญการถูกตำหนิจากต่างชาติไม่สิ้นสุด

แรงกดดันจากนานาชาติ :

นายอันโตนิอู กุแตเรซ (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้ทางการเมียนมาระงับปฏิบัติการทางทหาร ยุติความรุนแรง ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย เคารพสิทธิที่ทุกคนจะกลับสู่บ้านเกิดตัวเอง ขอให้โรฮีนจาได้ฐานะความเป็นพลเมืองหรือไม่ก็ได้รับฐานะทางกฎหมายเพื่ออนุญาตให้พวกเขาอยู่ในเมียนมาต่อไป

            กันยายน 2017 นิกกี ฮาลีย์ (Nikki Haley) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ กล่าวว่าการกดขี่ข่มเหงขับไล่โรฮีนจาเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน (brutal) กวาดล้างชนกลุ่มน้อยอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เห็นว่าเจ้าหน้าที่เมียนมาต้องรับผิดชอบ

            ต่อมากระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศว่ากองกำลังรัฐบาลเมียนมา “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (ethnic cleansing) โรฮีนจา แถลงการณ์ระบุว่าชัดว่ากองกำลังพม่า กองกำลังความมั่นคง และคนท้องถิ่นชาวพม่าเป็นผู้กดขี่ข่มเหง ทำให้โรฮีนจาอพยพออกจากพื้นที่

            บางคนเห็นว่าควรลงโทษผู้นำกองทัพเมียนมาเหมือนที่เคยทำกับบางประเทศ
ท่าทีอาเซียน
:

            สมาชิกอาเซียนหลายประเทศแสดงท่าทีมุ่งให้รัฐบาลเมียนมาจัดการปัญหาให้เรียบร้อย บางกรณีใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น มิถุนายน 2015 ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด (Tun Dr. Mahathir Mohamad) อดีตนายกฯ มาเลเซียถึงกับกล่าวว่าควรขับเมียนมาออกจากอาเซียน “ประเทศแบบนี้ทำให้พวกเราเสียชื่อ ดังนั้น ถ้ายังต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ก็ออกจากอาเซียน” แม้ว่าจะเป็นเรื่องภายในประเทศแต่การฆ่าคนเป็นเรื่องรับไม่ได้

            แถลงการณ์อาเซียนเมื่อ 24 กันยายน 2017 มีใจความสำคัญว่า รู้สึกกังวลต่อสถานการณ์ในรัฐยะไข่ (Rakhine State) ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ในระยะยาวต้องแก้ไขรากปัญหา

            แถลงการณ์ประชุมสุดยอดอาเซียน 2021 ล่าสุดเอ่ยถึงประเด็นโรฮีนจาว่าอาเซียนยืนยันสนับสนุนช่วยเหลือเมียนมาด้านมนุษยธรรมต่อไป สนับสนุนการพัฒนารัฐยะไข่ ให้คนที่อพยพสามารถกลับตามความสมัครใจ ได้อยู่อย่างปลอดภัยมั่นคง มีศักดิ์ศรี ให้การคืนถิ่นเป็นไปตามข้อตกลงทวิภาคีระหว่างเมียนมากับบังคลาเทศ แก้รากปัญหาความขัดแย้งของรัฐยะไข่

            จะเห็นว่า จุดยืนล่าสุดของอาเซียนยังเป็นแนวทางเดียวกับสหประชาชาติ ดังเช่นที่นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวเมื่อพฤศจิกายน 2019 ร้องขอให้รัฐบาลเมียนมาแก้รากปัญหาโรฮีนจา แก้ปัญหาผู้อพยพโรฮีนจาที่หนีไปอยู่บังคลาเทศให้กลับเมียนมาอย่างปลอดภัย ตามความสมัครใจและมีศักดิ์ศรี


วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :

            สถานการณ์ส่วนใหญ่เหมือนเดิม ชาวโรฮีนจาร่วมล้านคนอยู่ในศูนย์ผู้อพยพที่บังกลาเทศ คนเหล่านี้ได้รับการดูแลพอประมาณ มีข่าวโรฮีนจาบางส่วนไม่พอใจชีวิตความเป็นอยู่ในค่ายลี้ภัย การเจรจาระหว่างเมียนมากับบังคลาเทศไม่คืบหน้า ดูเหมือนว่าโรฮีนจาร่วมล้านคนนี้จะต้องอยู่ในค่ายลี้ภัยอีกนาน ออกลูกออกหลานกว่าแสนคนแล้ว บางส่วนพยายามเดินทางไปหางานทำต่างแดน

            ณ วันนี้ประเด็นโรฮีนจาไม่เป็นภัยคุกคามอาเซียนเหมือนปี 2015 เพราะโรฮีนจาร่วมล้านคนไปกระจุกตัวในบังกลาเทศ บางส่วนยังเดินทางไปๆ มาๆ ทำงานในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ไม่ใช่เรือมนุษย์ดังเช่นอดีต (แม้พวกเขายังคงเดินทางด้วยเรือแออัดเต็มลำ แล่นไปมาตามแนวชายฝั่ง) ถูกทดแทนด้วยประเด็นประชาธิปไตยที่นานาชาติให้ความสำคัญมากกว่า และดูเหมือนว่าเป็นภัยคุกคามอาเซียนมากกว่าเก่าท่ามกลางกระแสการช่วงชิงของชาติมหาอำนาจ

            ไม่ว่าจะเรื่องโรฮีนจาหรือการเมืองเมียนมาจึงไม่ใช่เรื่องของเมียนมาอีกต่อไป อาเซียนต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายจนกระทบไปหมดทั้งภูมิภาค

7 พฤศจิกายน 2021
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 26 ฉบับที่ 9126 วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564)

------------------

บทความที่เกี่ยวข้อง :
นางอองซาน ซูจีอาจไม่เห็นด้วยและไม่ได้ลงมือกดขี่ข่มเหงโรฮีนจา แต่เมื่อเป็นรัฐบาลย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในเวทีระหว่างประเทศที่ตีตราแล้วว่าโรฮีนจาถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เนื่องจากไม่อาจมองว่าผู้อพยพโรฮีนจาเป็นปัญหาของเมียนมาเท่านั้น ถ้าพูดให้ครอบคลุมกว่านี้ ในโลกนี้มีอีกนับร้อยล้านคนที่รอความช่วยเหลือ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการตอบว่าเป็นปัญหาของใคร
นับแต่ก่อตั้งอาเซียนเมื่อ 50 ปีก่อน หลักไม่แทรกแซงกิจการภายในเป็นเสาหลักของกลุ่ม ประเด็นโรฮีนจาเป็นกรณีพิเศษที่อาเซียนละเมิดหลักการ แต่เพราะเมียนมาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

บรรณานุกรม :

1. ASEAN. (2021, October 26). CHAIRMAN’S STATEMENT OF THE 38TH AND 39TH ASEAN SUMMITS. Retrieved from https://asean.org/wp-content/uploads/2021/10/FINAL-Chairmans-Statement-of-the-38th-and-39th-ASEAN-Summits-26-Oct....pdf

2. Bahar, Abid. (2012). Racism To Rohingya In Burma. Retrieved from http://ssashah.webs.com/racism-to-Rohingya-in-Burma-by-Dr-Abid-Bahar-in-response-to-Aye-Chans-Enclave-With-Influx-Viruses.PDF

3. Dr M calls for Myanmar to be expelled from Asean. (2015, June 12). The Star. Retrieved from http://www.thestar.com.my/News/Nation/2015/06/12/Myanmar-should-leave-Asean-Dr-M/

4. Human Rights Watch. (2000). Living in Limbo: Burmese Rohingyas in Malaysia. Retrieved from http://www.hrw.org/legacy/reports/2000/malaysia/index.htm

5. Hunt, Luke. (2015, May 29). Crocodile Tears for the Rohingya. The Diplomat. Retrieved from http://thediplomat.com/2015/05/crocodile-tears-for-the-rohingya/

6. Kurlantzick, Joshua. (2012, December 8). Under Fire: The Savage Persecution of Myanmar's Muslim Rohingya. Council on Foreign Relations. Retrieved from http://www.cfr.org/human-rights/under-fire-savage-persecution-myanmars-muslim-rohingya/p29703

7. Lawmakers urge US to craft targeted sanctions on Myanmar military. (2017, October 19). Channel News Asia. Retrieved from http://www.channelnewsasia.com/news/world/lawmakers-urge-us-to-craft-targeted-sanctions-on-myanmar-military-9322894

8. Malaysia tells Myanmar to stop Rohingya atrocities, disagrees with Asean stand. (2017, September 25). Channel News Asia. Retrieved from http://www.todayonline.com/world/malaysia-tells-myanmar-stop-rohingya-atrocities-disagrees-asean-stand#cxrecs_s

9. Myanmar army chief says Rohingya Muslims not native, refugee numbers exaggerated. (2017, October 12). Arab News. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1176421/world

10. No jobs, no rights: Refugees suffer in limbo in Malaysia. (2019, August 15). New Strait Times. Retrieved from https://www.nst.com.my/news/nation/2019/08/512886/no-jobs-no-rights-refugees-suffer-limbo-malaysia

11. UN chief urges Myanmar to resolve Rohingya crisis. (2019, November 2). AP. Retrieved from https://apnews.com/1b5a59b9944646abafef2cdce36cb6e5

12. UN Security Council calls for 'immediate steps' to end Myanmar violence. (2017, September 14). Channel NewsAsia. Retrieved from http://www.channelnewsasia.com/news/asiapacific/un-security-council-calls-for-immediate-steps-to-end-myanmar-9214136

13. U.S. declares attacks on Burmese Rohingya Muslims ‘ethnic cleansing’. (2017, November 22). The Washington Post. Retrieved from https://www.washingtonpost.com/world/us-declares-attacks-on-burmese-rohingya-muslims-ethnic-cleansing/2017/11/22/cfde1a32-cfd8-11e7-81bc-c55a220c8cbe_story.html?utm_term=.2833f6bcd963

14. U.S. Department of State. (2017, November 22). Efforts To Address Burma's Rakhine State Crisis. Retrieved from https://www.state.gov/secretary/remarks/2017/11/275848.htm

--------------------------