การประชุมสุดยอดผู้นำจีน-สหรัฐ 2014: งานประชาสัมพันธ์ชาติมหาอำนาจ

ประธานาธิบดีบารัก โอบามามีกำหนดเยือนจีนต้นสัปดาห์นี้ เพื่อเข้าร่วมประชุมเอเปค และร่วมประชุมสุดยอดกับผู้นำจีน ฝ่ายจีนหวังเจรจาเพื่อวางกรอบโครงสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ดังที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงประกาศว่า “เราต้องการร่วมมือกับรัฐบาลโอบามาเพื่อสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างสองมหาอำนาจ ... ผมไม่ได้พูดว่าไม่มีเรื่องขัดแย้งระหว่างกัน แต่ตราบใดที่ 2 ประเทศเคารพข้อกังวลต่างๆ ของกันและกัน ทั้ง 2 ประเทศสามารถบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันอันจะก้าวข้ามความขัดแย้งเหล่านั้น”
หลักคิดของจีน VS หลักคิดของสหรัฐ :
            ในมุมจีน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะจีนอาจมีสัมพันธ์ดีกับหลายสิบประเทศ แต่ทั้งหมดไม่อาจเทียบกับการมีสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐเพียงประเทศเดียว ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ ความมั่นคงทางทหาร อีกทั้งการมีสัมพันธ์ดีกับสหรัฐส่งผลต่อความสัมพันธ์กับอีกหลายสิบประเทศที่เป็นพันธมิตรสหรัฐ
            การพยายามวางกรอบความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ สอดรับกับแนวคิดของอดีตประธานาธิบดีหู จินเทา ที่เรียกร้องให้ ประชาชนทุกประเทศร่วมมือกันและสร้างโลกสมานฉันท์เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนและความมั่นคงร่วมกันบางคนตีความว่าไม่ว่าจีนจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใดก็ไม่ประสงค์เป็นเจ้าโลก มุ่งสร้างความมั่นคงมั่งคั่ง ไม่ใช่เพื่อเผยแพร่ลัทธิสังคมนิยมอีกแล้ว

            ด้านประธานาธิบดีโอบามายินดีที่จีนก้าวขึ้นมาอย่างสันติ สหรัฐมีผลประโยชน์ร่วมกับจีนมหาศาล แต่นักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่าหากพิจารณายุทธศาสตร์ปรับสมดุลเอเชียแปซิฟิก (หรือที่บางคนเรียกว่า Pivot to Asia) กับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ที่ยังเดินหน้าเจรจา ทำให้ต้องคิดไปต่างๆ นานา
            ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่าก่อนสิ้นปี 2020 เรือรบราวร้อยละ 60 และเครื่องบินราว 60 ของสหรัฐจะประจำการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สหรัฐสนับสนุนญี่ปุ่นตีความรัฐธรรมนูญเพื่อขยายบทบาทความมั่นคง ได้ลงนามขยายความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศกับฟิลิปปินส์ เพิ่มระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศเพื่อต้านเกาหลีเหนือ ส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคี ระหว่างสหรัฐ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพื่อความมั่นคงของภูมิภาค
            และพูดถึง TPP ว่ามีผลต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก เป็นยุทธศาสตร์สำคัญต่อทุกด้าน เพราะความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจผูกประเทศหุ้นส่วนเข้าหากัน ทั้งยังช่วยปกป้องประเทศเล็กๆ ให้พ้นจากการข่มขู่คุกคามจากประเทศที่ใหญ่กว่าที่ใช้เศรษฐกิจเป็นอาวุธเพื่อบรรลุเป้าหมายของพวกเขา
            คำพูดและการแสดงออกของรัฐบาลโอบามา ย่อมสร้างความสงสัยไม่ใช่น้อย
ยุทธศาสตร์แม่บทยากจะเปลี่ยนแปลง :
            ผลการประชุมน่าจะสามารถร่วมมือในบางเรื่อง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ โรคอีโบลา ต่อต้านลัทธิก่อการร้าย แต่ไม่อาจตกลงในเรื่องยุทธศาสตร์แม่บท เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ
            ประการแรก ยุทธศาสตร์แม่บทเป็นแนวคิดที่ผ่านการกลั่นกรองอย่างดี
            ยุทธศาสตร์แม่บทของสหรัฐเป็นสิ่งที่ผ่านการศึกษา คิดวิเคราะห์ และวางแผนอย่างดี ไม่ใช่นโยบายเฉพาะกิจ ยกตัวอย่าง รัฐบาลโอบามาสนับสนุนให้รัฐบาลอาเบะขยายบทบาทความมั่นคงในภูมิภาค เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีเมื่อนายชินโซ อาเบะชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกฯ ญี่ปุ่น ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่ารัฐบาลสหรัฐมีนโยบายต้องการให้ญี่ปุ่นขยายบทความมั่นคงมานานแล้ว ยุทธศาสตร์ความมั่นแห่งชาติสหรัฐอเมริกาฉบับปี 2002 (U.S. National Security Strategy of 2002) ระบุชัดว่ารัฐบาลบุช “หวังที่จะเห็นญี่ปุ่นแสดงบทบาทนำต่อกิจการในภูมิภาคและโลก”
            น่าชื่นชมสหรัฐเป็นตัวอย่างประเทศที่มียุทธศาสตร์แม่บทชัดเจน ทุกรัฐบาลพยายามดำเนินตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกัน เป็นอีกปัจจัยเอื้อให้ประเทศนี้เป็นมหาอำนาจ

            ประการที่ 2 แรงกดดันจากต่างชาติ
            นอกจากปัจจัยภายในของสหรัฐ ปัจจัยภายนอกมีส่วนสำคัญเช่นกัน
            ยกตัวอย่าง ญี่ปุ่นต้องการสร้างความมั่นคงระยะยาว เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเผชิญหน้ากับจีน การปรับแก้รัฐธรรมนูญ ผลลัพธ์ที่ได้คือญี่ปุ่นเพิ่มงบประมาณกลาโหม ขยายบทบาททางทหาร ทั้งหมดนี้ชี้ว่าเป็นการตอบสนองอนาคตระยะยาวที่ไม่แน่นอน และเป็นการพาตัวออกจากกรอบที่ถูกตีไว้เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ความร่วมมือกับสหรัฐในขณะนี้เป็นเหตุช่วยญี่ปุ่นค่อยๆ หลุดจากกรอบ สามารถก้าวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

            เรื่องหนึ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่อยมาคือการพัฒนากองทัพโดยเน้นการวิจัย สร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยตนเอง มุ่งที่จะเป็นผู้ผลิตยุทธปัจจัยชั้นนำของโลก เนื่องจากความเป็นมหาอำนาจจำต้องมีพลังอำนาจทางทหารรองรับ ญี่ปุ่นใช้ทั้งการพัฒนาด้วยตนเอง เรียนรู้ต่อยอดจากสหรัฐ จนญี่ปุ่นมีขีดความสามารถหลายอย่างทัดเทียมเทคโนโลยีของสหรัฐ
            ประเทศใดที่ขาดอุตสาหกรรมหนัก เทคโนโลยีระดับสูง ขาดมิตรประเทศ ย่อมอยู่ในสภาพล้าหลัง และมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยืนยันความจริงข้อนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามพาตัวออกจากวังวนประวัติศาสตร์ ไม่ต้องการให้ซ้ำรอยอีกครั้ง
            ดังนั้น ปัจจัยภายนอกจึงเป็นแรงผลักต่อการกำหนดนโยบายของสหรัฐ

ความสำเร็จของการเจรจาวัดผลได้จากญี่ปุ่น :
            ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายคนวิพากษ์ว่ารัฐบาลโอบามาแสดงบทบาทผ่านยุทธศาสตร์ Pivot to Asia น้อยกว่าที่ควร แต่หากมองที่ญี่ปุ่น จะเห็นชัดเจนว่าญี่ปุ่นเป็นตัวแสดงหลัก เป็นผู้เผชิญหน้ากับจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อพิพาทหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ การประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense Identification Zone: ADIZ) ของจีนเหนือน่านฟ้าทะเลจีนตะวันออก ดังนั้น การแสดงออก การดำเนินการของญี่ปุ่นจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญ
            แน่นอนว่ารัฐบาลอาเบะไม่ได้เดินตามความต้องการของรัฐบาลโอบามาทั้งหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายความมั่นคงของญี่ปุ่นต่อจีน เป็นนโยบายร่วมที่ได้ปรึกษาหารือกับสหรัฐ
            ดังนั้น นโยบายความมั่นคง นโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่นต่อจีนจึงเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญ บ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นอย่างไร แม้ภาพที่แสดงให้เห็นมีส่วนที่ไม่สอดคล้องก็ตาม

วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
            ไม่ว่าผลการประชุมสุดยอด2 ผู้นำจีน-สหรัฐจะเป็นอย่างไร เรื่องที่ควรตระหนักเสมอ คือ
            ประการแรก จีนกับสหรัฐยังคงมีความสัมพันธ์การค้าเพิ่มขึ้น
            ตัวเลขการค้าสหรัฐ-จีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์โลกเป็นอย่างไร สหรัฐกับจีนยังคงติดต่อสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุน ตัวเลขที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ย่อมชี้ว่า 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีต่อกัน แม้ว่าจะมีเสียงทุ่มเถียงกันมากน้อยเพียงใดก็ตาม
            ข้ออ้างที่ว่าสหรัฐกับจีนกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรง ปริมาณการค้าการลงทุนระหว่างกันย่อมสวนทางกับข้ออ้างดังกล่าว การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจจึงต้องมองหลายด้านหลายมิติเวลา

            ประการที่ 2 ปัญหาของสหรัฐ
            การจัดระเบียบโลกใหม่ของประธานาธิบดีบุชนำสหรัฐสู่สงครามในอิรัก ทำให้สหรัฐถลำลึก สูญเสียงบประมาณมหาศาล สหรัฐในสายตานานาชาติตกต่ำสุดนับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา หรือเท่ากับนับตั้งแต่สหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจ
            ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล จนต้องตัดงบประมาณกลาโหม วิกฤตเศรษฐกิจ 2008 ทำให้หลายคนวิเคราะห์ว่าสหรัฐกำลังถดถอยในทุกด้าน ประเด็นเศรษฐกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาล ความพยายามแก้ไขอัตราคนว่างงาน การขาดดุลการค้า การขาดดุลงบประมาณ คือประเด็นร้อนในขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลโอบามาทำได้ดีในเรื่องแก้ไขปัญหาคนว่างงาน เช่นเดียวกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นเรื่องที่สมควรได้รับคำชื่นชม
            แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาวยังไม่แน่นอน ปัญหาการขาดดุลยังไม่ได้รับการแก้ไข ภายใต้บริบทดังกล่าวโอกาสที่สหรัฐจะรักษาพลังอำนาจทางทหารไว้เท่าเดิมย่อมไม่สามารถทำได้ เศรษฐกิจที่อ่อนไหวไม่อาจเผชิญสัญญาณแง่ลบ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องสงครามที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่ารัฐบาลสหรัฐน่าจะหลีกเลี่ยงพาตัวเองสู่สถานการณ์ดังกล่าว การรุกคืบครอบงำจึงต้องใช้วิธีการอื่นๆ

            ที่สุดแล้ว การประชุมผู้นำจีน-สหรัฐในปีนี้ จะเป็นอีกครั้งที่ผู้นำจีนประกาศจุดยืนต่อประชาคมโลก ว่าตนต้องการสันติภาพ ต้องการเป็นมิตรกับทุกประเทศ ส่วนรัฐบาลโอบามาไม่ว่าจะพูดกับจีนอย่างไร ยังคงเดินหน้าตามแผนเสริมกำลังรบในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กองกำลังอีกส่วนที่กำลังปฏิบัติการโจมตีกองกำลังรัฐอิสลาม (IS/ISIL/ISIS) ก็ยังคงเดินหน้าต่อ เช่นเดียวกับงานจารกรรมประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประเทศทั้งหลายต้องระวังที่จะไม่ก้าวข้ามเส้นต้องห้ามของจีน จีนยังต้องการเป็นมิตรในระยะนี้
            การประชุมสุดยอดผู้นำจีน-สหรัฐเป็นเรื่องของ 2 มหาอำนาจ 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 กับ 2 ที่นานาชาติจะให้ความสนใจ จึงเป็นโอกาสทองที่ 2 มหาอำนาจจะประชาสัมพันธ์ตนเอง
9 พฤศจิกายน 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(คอลัมน์ สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 6578 วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2557)
------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
สถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้จำต้องมองกรอบที่กว้างกว่าอาเซียน เกี่ยวข้องกับท่าทีของสหรัฐกับญี่ปุ่น ที่รัฐบาลอาเบะเพิ่งประกาศต้องการแสดงภาวะผู้นำเหนือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีนคงต้องการเตือนอาเซียนว่าอาเซียนควรร่วมมือกับจีน อยู่ร่วมกับจีนอย่างฉันท์มิตรมากกว่าที่จะเข้าพวกกับสหรัฐ ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในแนวทางต่อต้านยุทธศาสตร์ Pivot to Asia
ในด้านหนึ่งประธานาธิบดีโอบามาได้เตือนนายกฯ อาเบะว่าไม่ควรก่อความตึงเครียด ควรเจรจาและสร้างความไว้วางใจมากกว่า แต่ในอีกด้านหนึ่งประธานาธิบดีโอบามาช่วยเบี่ยงเบนพฤติกรรมการรุกคืบของญี่ปุ่น เช่น การเพิ่มงบประมาณกลาโหม การจัดตั้งหน่วยนาวิกโยธิน การปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติให้ญี่ปุ่นแสดงบทบาทเชิงรุกมากขึ้น การแก้ไขตำราเรียนและการเรียนการสอนที่อ้างว่าหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ และเกาะด็อกโด/ทาเคชิมา เป็นดินแดนของญี่ปุ่น
ความขัดแย้งจากการเยือนศาลเจ้ายุสากุนิไม่ใช่เรื่องใหม่ อดีตผู้นำญี่ปุ่นหลายท่านที่เคยเยือนศาลเจ้าจะตามมาด้วยการวิวาทะกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น นายกฯ อาเบะเยือนศาลเจ้าก็เพราะได้คิดไตร่ตรองรอบคอบแล้วว่า ได้มากกว่าเสียอาจต้องการชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นภายใต้การบริหารของตนกำลังฟื้นตัว ไม่เกรงกลัวแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากจีน ญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ กระชับความเป็นพันธมิตร และมั่นใจว่าความขัดแย้งอยู่ภายใต้การควบคุม
รัฐบาลจีนตั้งคำถามว่ายุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติญี่ปุ่นมีเพื่อสันติภาพจริงหรือไม่ คำถามนี้เป็นคำถามเดิมๆ ตั้งแต่นายชินโซ อาเบะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ รอบ 2 ที่ลึกกว่านั้นคือสะท้อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงสหรัฐฯ ที่มีต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การตอบโต้จากจีนแท้ที่จริงแล้วคือการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ด้วย

บรรณานุกรม:
1. Huang, Yiping., Dang, Weihua., & Wang, Jiao. (2011). Reform of the International Economic System. In Golley, Jane., &Song, Ligang (Eds.), Rising China: Global Challenges and Opportunities (pp.29-44). Australia: Australian National University.
2. Jacques, Martin. (2009). When China Rules the World: The End of the Western World and the Birth of a New Global Order. USA: Penguin Press.
3. Kang, David C. (2007). China Rising: Peace, Power, and Order in East Asia. New York: Columbia University Press.
4. More opportunities for Sino-U.S. trade, investment: premier. (2013, March 17). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2013-03/17/c_132240139.htm
5. The White House. (2014, April 24). Joint Press Conference with President Obama and Prime Minister Abe of Japan. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2014/04/24/joint-press-conference-president-obama-and-prime-minister-abe-japan
6. The White House. (2014, October 3). Remarks by the Vice President at the John F. Kennedy Forum. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2014/10/03/remarks-vice-president-john-f-kennedy-forum
-------------------------