การชี้ว่าจีนจะบุกไต้หวันและสหรัฐอาจเป็นฝ่ายปราชัย เป็นคำถามที่น่าคิดว่าทำไมผู้นำกองทัพสหรัฐพูดเช่นนั้น กำลังปลุกเร้าสถานการณ์ให้ตึงเครียดใช่หรือไม่ กำลังพาไต้หวันเข้าสู่สงครามหรือเปล่า
พลเรือเอกฟิล เดวิดสัน (Phil Davidson) ผู้บัญชาการ IndoPacific Command กล่าวต่อวุฒิสภาเป็นกังวลว่าจีนจะโจมตีไต้หวันภายในปี 2027 บทความ The Most Dangerous Place on Earth บรรยายว่าเหตุผลหนึ่งที่จีนจะโจมตีคือเพื่อทดสอบประสิทธิภาพกองทัพอเมริกัน หากชนะจะเป็นผู้ครองภูมิภาคในชั่วข้ามคืน พันธมิตรสหรัฐเห็นว่าพึ่งสหรัฐไม่ได้อีกแล้ว Pax Americana ล่มสลาย
จีนพัฒนาอาวุธและประจำการอาวุธตามชายฝั่งช่องแคบไต้หวัน
ในช่วง 5 ปีกองทัพเรือจีนมีเรือรบผิวน้ำกับเรือดำน้ำใหม่ถึง 90 ลำ
ผลิตเครื่องบินรบปีละ 100 ลำ มีขีปนาวุธที่ทำลายเป้าหมายอย่างแม่นยำ
ผลจำลองสถานการณ์
(simulate) จีนโจมตีไต้หวันพบว่ากองทัพสหรัฐที่ประจำการในญี่ปุ่น
เกาหลีใต้และเกาะกวมสู้ไม่ได้ นักวิเคราะห์อเมริกันหลายคนสรุปว่าด้วยพลังทางทหารจีนที่เหนือกว่าจีนจะรุกรานไต้หวันแน่นอน
ไม่รอให้ไต้หวันล้ำเส้นอีกแล้ว (ประกาศเอกราช) บางคนคิดว่าประธานาธิบดีสี
จิ้นผิงจะยึดไต้หวันเพื่อสร้างชื่อเสียง
การต่อสู้ของ 2 มหาอำนาจ :
ในช่วงสงครามเย็น
เดิมนั้นจีนกับสหรัฐเป็นศัตรูจากความขัดแย้งอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เมื่อสหรัฐกับจีนร่วมมือต้านสหภาพโซเวียตในทศวรรษ
1970 รัฐบาลนิกสันเปลี่ยนนโยบายยอมรับว่า
“ไม่ว่าจะฝั่งใดของช่องแคบไต้หวันเป็นจีนหนึ่งเดียว ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน”
เป็นการยอมรับนโยบายจีนเดียว (one China policy) ของจีนและทรยศไต้หวัน
ในช่วงนั้นสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตยสหรัฐกับคอมมิวนิสต์จีนเป็นไปอย่างชื่นมื่น
เข้าสู่ทศวรรษ 1990 รัฐบาลสหรัฐเริ่มเปลี่ยนอีก
เมื่อฝ่ายยุทธศาสตร์เห็นว่าจีนเป็นความท้าทายใหม่ เศรษฐกิจจีนเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพลังอำนาจทางทหาร
นับจากนั้นเป็นต้นมารัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครทต่างตีตราว่าจีนเป็นภัยคุกคามร้ายแรงขึ้นทุกทีดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ต้นเหตุสงครามมีที่มาที่ไป ความตึงเครียดช่องแคบไต้หวันดำเนินมา 80-90 ปีแล้ว
เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายเข้าใจอย่างดีว่าสงครามจะไม่เกิดหากไม่มีใครล้ำเส้น คือไต้หวันไม่ประกาศเอกราชกับจีนไม่ส่งทหารบุกยึดไต้หวัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครล้ำเส้น
ความเสี่ยงและผลเสียหากโจมตีไต้หวัน :
ประเด็นแรกที่ควรพิจารณาคือจีนจะบุกไต้หวันหรือไม่
ดังที่บางคนคิดว่าผู้นำจีนอาจทำเพื่อสร้างตำนานให้แก่ตัวเองและด้วยเหตุผลอื่นๆ มีมุมมองที่ควรพิจารณาเพิ่มดังนี้
ที่ทุกฝ่ายกังวลมากสุดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกหากสหรัฐยิงนิวเคลียร์ใส่หลายสิบหลายร้อยจุดของจีน
รวมทั้งเมืองใหญ่เขตเศรษฐกิจ คนจีนอาจเสียชีวิตหลายสิบล้านหรือนับร้อยล้านคน
หรือจีนทำเช่นนี้เหมือนกัน กรณีนี้เป็นไปได้ยากมาก
สงครามนิวเคลียร์อีกแบบคือใช้ขีปนาวุธโจมตีติดหัวรบนิวเคลียร์เพื่อทำลายเป้าหมายเฉพาะจุด
เป้าหมายทางทหาร ฐานทัพ กองเรือ ให้อีกฝ่ายอัมพาตต้องยอมแพ้ ใครเสี่ยงเปิดศึกก่อนเป็นคำถามน่าคิด
หากจีนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
สิ่งที่จีนสูญเสียแน่นอนคือจุดยืนที่ว่าจีนก้าวขึ้นอย่างสันติ ไม่คิดเป็นมหาอำนาจผู้ครองความเป็นเจ้า
เรื่องนี้มีผลต่อชื่อเสียงจีนชนิดยากจะฟื้นคืนกลับมาอีก
คำถามคือคุ้มหรือไม่
เฉพาะกรอบไต้หวันมีคำถามว่าจีนจะปกครองไต้หวันได้หรือไม่ จะเป็นภาระแก่จีนอีกกี่สิบปี
จะดีกว่าไหมหากรักษาสภาพที่เป็นอยู่ ไต้หวันไม่ประกาศเอกราช จีนไม่โจมตีไต้หวัน
ชาวไต้หวันหลายหมื่นหลายแสนคนยังคงทำมาค้าขายกับจีน ทั้งจีนกับไต้หวันต่างมีส่วนให้เศรษฐกิจโลกเดินหน้าต่อไป
ประชากร 1,400 ล้านของจีนกับ 24 ล้านของไต้หวันทำมาหากิน มีความสุขตามอัตภาพต่อไป
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นชัดคือรัฐบาลจีนเร่งพัฒนาประเทศทุกด้าน
ส่งเสริมการค้าการลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ พลเมืองจีนใช้ชีวิตสะดวกสบายทันสมัยตามแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว
จีนจะแลกสิ่งนี้กับเกาะไต้หวันไหม
ในแง่พลังอำนาจทางทหาร สิ่งที่รัฐบาลจีนทำในช่วงนี้คือมีกองทัพเข้มแข็งมากพอจนศัตรูไม่กล้าลงมือ
สำหรับคนไต้หวัน :
คนไต้หวันเข้าใจการแข่งขันช่วงชิงระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นอย่างดี นับจากพวกก๊กมินตั๋ง
(Kuomintang) ของ เจียง ไคเช็ค (Chiang Kai-shek) พ่ายศึกในแผ่นดินใหญ่ ถอยร่นมาตั้งหลักที่ไต้หวัน นับจากนั้นเป็นต้นมาคนไต้หวันมีภารกิจพิเศษ
ต้องเตรียมตัวกู้ชาติ นักเรียนชั้นประถมที่นี่แตกต่างจากเด็กทั่วไปเพราะต้องเรียนรู้และเตรียมตัวกอบกู้เอาแผ่นดินคืนจากคอมมิวนิสต์
ประเทศอยู่ในบรรยากาศกึ่งเตรียมพร้อมทำสงคราม กองทัพเป็นผู้ปกครองไต้หวัน เกิดพรรคชาตินิยม
(Kuomintang: KMT) เป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่นาน KMT ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
สถานการณ์คลี่คลายเมื่อรัฐบาลสหรัฐจับมือกับจีนคอมมิวนิสต์ต้านโซเวียตรัสเซีย
พร้อมกับที่จีนเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ เป็นสมาชิกองค์การค้าโลก คนไต้หวันนับหมื่นนับแสนไปทำงานทำธุรกิจที่จีน
คน 2 ฝั่งช่องแคบแต่งงานมีครอบครัวออกลูกออกหลาน
บัดนี้พลเรือเอกฟิล
เดวิดสัน กำลังชี้ว่าจีนจะบุกไต้หวันและสหรัฐอาจเป็นฝ่ายปราชัย เป็นคำถามที่น่าคิดว่า
ทำไมผู้นำกองทัพสหรัฐพูดเช่นนั้น กำลังปลุกเร้าสถานการณ์ให้ตึงเครียดใช่หรือไม่
กำลังพาไต้หวันเข้าสู่สงครามหรือเปล่า อนาคตของชาวไต้หวัน 24
ล้านคนจะเป็นอย่างไร ควรทำสงครามหรืออยู่อย่างสงบสุขกับจีนต่อไป
นี่คือคำถามที่คนไต้หวันควรเป็นผู้ตอบเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของบางประเทศ
ของนักการเมืองบางคนบางกลุ่ม
แม้ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน
(Tsai Ing-wen) จากพรรค Democratic Progressive
Party’s (DPP) ชูนโยบายประกาศเอกราชแต่เป็นแนวคิดเท่านั้น
เช่นเดียวกับพรรคชาตินิยม (KMT) ที่ระยะหลังปรับนโยบายเข้าหาจีนก็ใช่ว่าต้องการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจีน
แม้จีนจะเสนอแนวทาง “1 ประเทศ 2 ระบบ” คนไต้หวันยังกังวลว่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้หรือไม่
ความเป็นไปของฮ่องกงเป็นตัวอย่าง
สงครามจีนกับไต้หวันจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้ำเส้น หากจีนกับไต้หวันไม่ล้ำเส้น ย่อมไม่มีเหตุเกิดสงครามตามที่ผู้นำกองทัพสหรัฐกล่าวอ้าง
วิพากษ์จากมุมของสหรัฐ :
เป็นเรื่องจริงที่กองทัพจีนเข้มแข็งขึ้นมาก
มีอาวุธทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มงบกลาโหมทุกปี ยิ่งเศรษฐกิจเติบใหญ่ยิ่งเพิ่มได้มาก
แต่เป็นมุมมองที่ผิดพลาดถ้าคิดว่าจีนพัฒนากองทัพเพื่อยึดไต้หวัน
ถ้อยคำของพลเรือเอกฟิล
เดวิดสัน พูดในบริบทไต้หวัน แต่หากตีความว่า “ไต้หวัน” คือ “อเมริกา” หรือเขตอิทธิพลอเมริกาย่อมสะท้อนว่ากองทัพสหรัฐกังวลการก้าวขึ้นมาของกองทัพจีน
ข้อมูลจากบทความถึงกับพูดว่าสหรัฐแพ้สงคราม
“จีนกำลังก้าวขึ้นมาในขณะที่อเมริกากำลังถดถอย”
นี่คือข้อสรุปที่สหรัฐกังวล ทางออกคือประการใด ต้องขอให้รัฐสภาเพิ่มงบกลาโหม
พัฒนาอาวุธใหม่ๆ กระชับพันธมิตรอินโด-แปซิกฟิกใช่หรือไม่ บางทีนี่อาจคือสิ่งที่ฝ่ายกองทัพต้องการ
กองทัพชี้แจงรัฐสภา รัฐบาลไบเดนดำเนินการ เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่
เกิดขึ้นเสมอเมื่อได้รัฐบาลใหม่ สหรัฐต้องมีศัตรูให้ได้แข่งขันช่วงชิงตลอดไป พลเมืองอเมริกันสังคมอเมริกันอยู่ในภาวะที่ถูกครอบงำด้วยภัยคุกคามร้ายแรงอยู่เสมอ
ต้องทำศึกหรือเตรียมทำศึกอย่างเข้มข้นตลอดเวลา ภัยสงครามเป็นข่าวใหญ่ของประเทศอยู่เรื่อยเพราะผู้นำประเทศชี้นำไปทางนั้น
ต้องยอมรับว่าหากสหรัฐพ่ายแพ้ในอินโด-แปซิฟิกเท่ากับสูญเสียฐานะเจ้าผู้ครองโลก
แต่เป็นไปได้ว่าโลกอาจได้คำตอบโดยไม่ต้องทำสงครามด้วยเครื่องบินรถถัง
----------------------------
1. Jiu-Hwa Lo Upshur. (2008). Taiwan (Republic of China). In
Encyclopedia of World History. (Vol. 6., pp. 411-412). New York:
Infobase Publishing.
2. Sandier, Todd., Hartley, Keith. (1999). The Political
Economy of NATO: Past, Present and into the 21st Century. New York: Cambridge
University Press.
3. Something wicked this way come. (2021, May 1-7). The Economist.
pp.14-17.
4. The Most Dangerous Place on Earth. (2021,
May 1-7). The Economist. p.7.
5. Wang, Jenn-hwan (2006). Sovereignty, survival, and the
transformation of the Taiwan state. In State Making in Asia.
(pp.94-112). Oxon: Routledge.
6. Zhang, Qingmin. (2011). China’s Diplomacy. Singapore:
Cengage Learning Asia.
--------------------------