แนวทางหนึ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หาเสียงจนชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเมื่อปลายปี 2016 คือ ประชานิยม ตัวอย่างที่เด่นชัด เช่น ชูประเด็นแรงงานต่างด้าว ชี้ว่าแย่งงานคนอเมริกัน ทำให้ค่าจ้างลด เป็นตัวก่ออาชญากรรม สร้างปัญหายาเสพติด เสนอนโยบายกีดกันแรงงานต่างด้าวที่รุนแรง ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานด้อยฝีมือฝากความหวังกับทรัมป์เหตุหนึ่งที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งจึงมาจากการหาเสียงโดยแนวทางประชานิยม ดูเหมือนว่าแนวทางนี้เฟื่องฟูขึ้น
บรรณานุกรม:
เมื่อชนะเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ประกาศสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก
จะให้เม็กซิโกเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสร้างกำแพง
ขับไล่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายออกจากประเทศ
แต่เมื่อบริหารประเทศซักพักหนึ่ง
รัฐบาลทรัมป์เริ่มลดทอนนโยบาย เช่น ประกาศจะขับไล่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเฉพาะพวกที่ก่ออาชญากรรมเท่านั้น
มีเพียงไม่กี่คน ในขณะที่ออกกฎหมายให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้กลายเป็นคนเข้ามาผิดกฎหมายที่ทางการยินยอม
ส่วนนโยบายสร้างกำแพงกั้นตลอดแนวพรมแดนนั้น
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความเห็นว่าเป็นนโยบายที่เปล่าประโยชน์ ไม่คุ้มค่า
และไม่คิดว่าจะสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากเม็กซิโก
รวมความแล้วกำแพงกั้นแนวพรมแดนไม่น่าจะทำได้ กลายเป็นประเด็นค้างคาในสภา
ค่าเงินหยวนเป็นอีกประเด็นที่ควรเอ่ยถึง
ในช่วงหาเสียงทรัมป์โยนความผิดแก่จีนเรื่องการขาดดุลการค้า โยงว่าเป็นเหตุชาวอเมริกันตกงาน
หากสามารถแก้ปัญหานี้ อาจเพิ่มการจ้างงานในประเทศนับล้านตำแหน่ง
เรื่องค่าเงินหยวนไม่ใช่เรื่องใหม่
รัฐบาลสหรัฐชุดก่อนๆ ยกประเด็นนี้เช่นกัน ในขณะที่รัฐบาลจีนปฏิเสธเรื่อยมา
ในทางวิชาการเป็นประเด็นถกเถียงว่าเงินหยวนอ่อนค่าเกินไปหรือไม่ รัฐบาลจีนมีสิทธิ์ทำเช่นนี้หรือไม่
เพราะหลายประเทศใช้นโยบายนี้เช่นกัน
และที่สำคัญคือปัจจัยค่าเงินหยวนมีผลต่อการตกงานมากเพียงไร
ไม่ถึง
2 เดือนหลังรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ยอมรับว่าจีนไม่ได้บิดเบือนค่าเงินหยวน
กลายเป็นว่าบัดนี้รัฐบาลสหรัฐมีข้อสรุปชัดแล้วว่าจีนไม่ได้บิดเบือน
ค่าเงินหยวนไม่เป็นต้นเหตุขาดดุลการค้าอย่างที่ทรัมป์กล่าวหา
เช่นนี้แล้วตำแหน่งงานนับล้านที่ทรัมป์คาดว่าจะได้จึงมลายหายไปในอากาศทันที
รวมความแล้วเมื่อบริหารประเทศจริง
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มเข้าได้กับระบอบเดิม (ตรงข้ามกับช่วงหาเสียงที่ต่อต้านระบอบเดิมอย่างรุนแรง) นโยบายแรงงานต่างด้าวกลายเป็นการเอื้อระบอบเดิมมากยิ่งขึ้น (ให้คนเข้าเมืองผิดกฎหมายกลายเป็นเรื่องที่รัฐยอมรับ)
หลายนโยบายที่หาเสียงไม่สามารถปฏิบัติได้จริง
เป็นข้อสรุปว่าทรัมป์ใช้แนวทางประชานิยมเพื่อชนะเลือกตั้ง
แต่เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วกลับไปเข้ากับระบอบเดิม อยู่ในโลกแห่งความจริง การจะพิจารณาว่าทรัมป์ส่งเสริมประชานิยมหรือระบอบอำนาจเก่าจึงขึ้นกับผลลัพธ์สุดท้าย
แนวทางประชานิยมเป็นเพียงเครื่องมือช่วยทรัมป์เข้าถึงอำนาจของระบอบเดิมเท่านั้น
ข้ออ้างทำลายทุกหลักการ ทุกเหตุผล :
แนวนโยบายของทรัมป์ไม่เพียงทำลายระบอบเสรีประชาธิปไตยเท่านั้น
ถ้าลงรายละเอียดปลีกย่อยคือทำลายระบบสื่อมวลชน เสียงของคนข้างน้อย
ทันทีที่รับตำแหน่ง
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าพวกนักข่าวเป็น “มนุษย์ที่อสัตย์มากที่สุดในโลก" ท่ามกลางการถกเถียงจำนวนผู้เข้าร่วมงานพิธีรับตำแหน่ง
ประธานาธิบดีทรัมป์ชี้ว่าสื่อนำเสนอข่าวบิดเบือนว่ามีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าสมัยประธานาธิบดีโอบามาเมื่อปี
2009 ในขณะที่สื่อแสดงหลักฐานละเอียดยิบ
ภายใต้แนวทางประชานิยม
ประธานาธิบดีทรัมป์บริหารประเทศและทำการใดๆ โดยอ้างประชาชน เพื่อประชาชน เช่น
เมื่อสื่อเสนอข่าวลบต่อรัฐบาล
ทรัมป์ไม่รอช้าที่จะพูดว่าสื่อส่วนใหญ่ไม่ได้นำเสนอข่าวเพื่อประชาชน
แต่เพื่อผลประโยชน์พิเศษและทำกำไรจากข่าว “สื่อเป็นศัตรูต่อชาวอเมริกัน"
เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำนาจเก่า
และยังทำลายระบอบอื่นๆ
ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ เช่น การค้าเสรี ภายใต้เหตุผลหลักเพียงข้อเดียวคือเพื่อประชาชน
หรือ America First คำถามคือประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่
ประโยชน์ที่ได้ยั่งยืนหรือไม่ การทำลายระบอบเสรีประชาธิปไตย
การค้าเสรีเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษมากกว่ากัน
ผลเสียจากขอให้เชื่อผู้นำ (ประชานิยม) เท่านั้น
:
จะเห็นว่าทรัมป์ใช้หลัก
"ขอให้เชื่อผู้นำ" สิ่งที่ผู้นำพูดถูกต้องเสมอ แม้จะขัดแย้งกับแนวคิด แหล่งข้อมูลอื่นๆ
หลักฐานที่ปรากฏ
นักวิเคราะห์บางคนวิพากษ์ว่ากรณีเรื่องดักฟังเป็นอีกครั้งที่ทรัมป์ใช้วิธียืนยัน
“ความจริงอีกชุด” (alternative facts) ที่สวนทางกับข้อมูลหลักฐาน
แต่เรื่อง “ความจริงอีกชุด” นับวันจะยิ่งหมดความน่าเชื่อถือ
ตั้งแต่เกิดประเด็นถกเถียงจำนวนผู้เข้าร่วมพิธีสาบานรับตำแหน่งประธานาธิบดี
ถ้าคิดเข้าข้างทรัมป์
ความผิดพลาดในอดีตไม่ใช่ข้อสรุปว่าทรัมป์เชื่อถือไม่ได้อีกแล้วในทุกเรื่อง
แต่ละประเด็นยังต้องพิจารณาตามข้อมูลหลักฐานที่น่าเชื่อถือต่อไป
กรณีการลักลอบตรวจสอบติดตามเป็นอีกกรณีที่บ่งบอกคุณลักษณะความเป็นทรัมป์ว่า
“เรื่องที่ทรัมป์เห็นว่าถูกคือถูก เรื่องที่เห็นว่าผิดคือผิด” แม้คณะกรรมาธิการด้านการข่าวของทั้ง
2 สภา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง FBI NSA กระทรวงยุติธรรมจะแถลงอย่างเป็นทางการว่าประธานาธิบดีโอบามาไม่ได้สั่งการ
แต่ทรัมป์ยังยืนยันเช่นนั้น ไม่สนใจว่าใครจะอธิบายชี้แจงอย่างไร
ทั้งยังพยายามพูดเบี่ยงประเด็นให้คนฟังเห็นว่าเขาเท่านั้นที่ถูก ที่เหลือผิดหมด
ไม่เพียงเท่านั้นประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า
ตนเป็นคนที่สามารถ “คาดเดา” เหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ
โดยไม่จำต้องรับรู้ข้อเท็จจริงก่อนตัดสินใจ
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นคนที่มีสัญชาติญาณดีเยี่ยม
และมักเป็นฝ่ายถูกจากการใช้สัญชาติญาณ
สหรัฐเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร
ใช้สถิติวิเคราะห์ทุกอย่าง (ดังตัวอย่างรายการกีฬาที่ผู้ดำเนินรายการสามารถรายงานสถิติต่างๆ
อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ เช่น นักบาสเกตบอลคนหนึ่งจะชู้ตลูกโทษ
จะพูดทันทีว่าสถิติการชู้ตเป็นอย่างไร)
ทรัมป์พูดตรงไปตรงมาว่าท่านให้ความสำคัญกับสัญชาตญาณมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง
จะตัดสินใจโดยยึดสัญชาตญาณตนเอง อันที่จริงแล้ว การใช้สัญชาตญาณไม่ใช่เรื่องผิด
มนุษย์ทุกคนมีและใช้เป็นประจำ แต่จะตัดสินทุกเรื่องโดยใช้สัญชาตญาณไม่สนใจข้อมูลกับข้อโต้แย้งหรือ
ในอีกมุมหนึ่ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพียงวิธีอวดอ้างว่าตนเหนือกว่าคนอื่นๆ
อ้างว่าทุกอย่างที่ตนเชื่อนั้นถูก และจะยืนยันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่สนใจว่าขัดแย้งกับข้อมูลหรือความเห็นอื่นหรือไม่
ความหวังใหม่ (อีกสักครั้ง) :
ในทางวิชาการถกเถียงกันมากว่าอะไรคือประชานิยม
มีลักษณะอย่างไร วิธีการอย่างไร โดยที่ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ยอมรับทั่วไป การที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ใช้แนวทางประชานิยมไม่ได้คิดว่าตนต้องทำตามทฤษฏีหรือไม่
บริบทของแต่ละสังคมและในแต่ละช่วงเวลาแตกต่างกัน เป้าหมาของผู้รณรงค์แตกต่าง
นักวิชาการบางคนอธิบายว่าเกิดประชานิยมกับประชานิยมใหม่ (neopopulism)
การศึกษาควรเน้นว่าอะไรคือเป้าหมายกับแนวทางของผู้รณรงค์ประชานิยม
การอธิบายตีความคำถามเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากกว่า
การเคลื่อนไหวของพวกประชานิยมตั้งอยู่บนรากฐานความไม่พอใจอย่างยิ่งของประชาชนต่อระบอบการปกครองเดิม
หลังผ่านมาแล้วหลายรัฐบาลจากหลายพรรค แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา
เมื่อมีผู้นำรณรงค์ต่อต้านระบอบอำนาจเก่า กลายเป็นความหวังใหม่ของประชาชนเหล่านี้
การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของพวกประชานิยมจึงขึ้นกับความสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกมีหวัง
ฝากอนาคตของตนไว้กับระบอบประชานิยม
หากการเคลื่อนไหวประสบผลสำเร็จ
ไม่ได้ประกันว่าประชาชนจะได้รับสิ่งที่ต้องการ เพราะผู้นำกลุ่มอาจผันตัวเป็นพวกเดียวกับระบอบอำนาจเดิม
อาจสถาปนาตัวเองเป็นระบอบอำนาจที่ทำเพื่อตัวเอง
หรือปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะขึ้นกับหลายปัจจัยทั้งภายในภายนอก
อันรวมถึงประชาชนที่เรียกร้องการเปลี่ยนด้วย
อีกกรณีที่เป็นไปได้คือ
สังคมเกิดกลุ่มอำนาจใหม่
ชนชั้นอำนาจใหม่นี้อาศัยประชานิยมเป็นจุดเริ่มเพื่อเข้าถึงอำนาจการเมือง
คำว่าประชานิยมของการเคลื่อนไหวจึงเป็นเพียงกลยุทธ์หาเสียงทางการเมืองเท่านั้น
ลักษณะชีวิตของผู้รณรงค์จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด
ต้องมั่นใจว่าเขากำลังทำเพื่อประชาชนจริงๆ อีกทั้งประชาชนต้องพร้อมปฏิรูปตนเองด้วย
เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ
คำปราศรัยที่บอกว่าต้องการทำเพื่อประชาชนฟังดูดี
บางครั้งเป็นเช่นนั้นจริง แต่บางกรณีไม่ใช่ จึงไม่สามารถสรุปง่ายๆ
ว่าถ้ามีใครสักคนหนึ่งลุกคนมาชูนโยบายประชานิยม สุดท้ายแล้วประชาชนจะได้รับสิ่งดี อาจกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้
ปัญหาใหญ่เพราะประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจทางการเมือง
ถูกชี้นำง่าย ประชาชนด้วยกันขาดการรวมตัว หวังพึ่งอาศัยการนำจากบุคคลที่ไม่รู้จักมากพอ
ไม่ว่าปากจะยอมรับหรือไม่
18 มิถุนายน 217
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7527 วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2560)
-------------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
การรณรงค์ประชานิยมแต่ละครั้งมีข้อดี-ข้อเสียขึ้นกับแง่มุมมอง
บางครั้งมีข้อดีหลายข้อ บางครั้งมีข้อเสียมากกว่า
ทั้งนี้ขึ้นกับการรณรงค์แต่ละครั้ง โดยรวมแล้วข้อดีคือเป็นอีกช่องทางของประชาชน
ช่วยให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนข้อเสียคือเป็นการทำลายประชาธิปไตย
ไม่ต่างจากระบอบเดิมที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนจริงๆ
พอจะสรุปได้ว่า “ประชานิยม” คือ
การเคลื่อนไหวทางการเมือง พยายามดึงประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วม
เพื่อต่อต้านระบอบเก่า อาจเป็นระบอบการเมือง สังคม เศรษฐกิจ
บางเรื่องบางที่เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง แนวทางนี้กำลังท้าทายระบอบการเมืองเศรษฐกิจสังคมปัจจุบัน
และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 นี้
1. Albertazzi, Daniele., McDonnell, Duncan. (Editors).
(2008). Twenty-First Century Populism: The Spectre of Western European
Democracy. New York: PALGRAVE MACMILLAN.
2. Buncombe, Andrew. (2016, May 2) Donald Trump accuses
China of 'raping' the US with its trade policy. The Independent.
Retrieved from http://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-elections/donald-trump-accuses-china-of-raping-the-us-with-its-trade-policy-a7009946.html
3. Davis, Julie Hirschfeld., Rosenberg, Matthew. (2017,
January 21). With False Claims, Trump Attacks Media on Turnout and Intelligence
Rift. The New York Times. Retrieved from
https://www.nytimes.com/2017/01/21/us/politics/trump-white-house-briefing-inauguration-crowd-size.html
4. Denyerm, Simon. (2017, January 25). Trade trumps
national security in Trump’s worldview. That’s really bad news for China. The
Washington Post. Retrieved from https://www.washingtonpost.com/world/national-security/president-trump-is-planning-to-sign-executive-orders-on-immigration-this-week/2017/01/24/aba22b7a-e287-11e6-a453-19ec4b3d09ba_story.html
5. Johnson, Jenna., Gold, Matea. (2017, February 17). Trump
calls the media ‘the enemy of the American People’. The Washington Post.
Retrieved from
https://www.washingtonpost.com/news/post-politics/wp/2017/02/17/trump-calls-the-media-the-enemy-of-the-american-people/
6. Scherer, Michael. (2017, March 23). Can President Trump
Handle the Truth? Time. Retrieved from http://time.com/4710614/donald-trump-fbi-surveillance-house-intelligence-committee/?xid=homepage
7. Shirk, Susan L.
(2007). China: Fragile Superpower: How China's Internal Politics Could
Derail Its Peaceful Rise. New York: Oxford University Press.
8. Transcript: Donald Trump Expounds on His Foreign Policy
Views. (2016, April 26). The New York Times. Retrieved from
http://www.nytimes.com/2016/03/27/us/politics/donald-trump-transcript.html
9. Trump Suggests He Doesn't Need 'Facts' Because 'I'm A
Very Instinctual Person'. (2017, March 23). Inquisitr. Retrieved from http://www.inquisitr.com/4085289/trump-suggests-he-doesnt-need-facts-because-im-a-very-instinctual-person/
-----------------------------