ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียในวิกฤตยูเครนเป็นสงครามเย็นหรือไม่ (ตอนจบ)

ในบทความ 2 ตอนแรก ได้อธิบายเปรียบเทียบอย่างชัดเจนว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียในวิกฤตยูเครน ไครเมีย มีทั้งลักษณะที่คล้ายสงครามเย็นกับส่วนที่ไม่เหมือน และมีข้อสรุปว่าไม่ใช่สงครามเย็น
            สิ่งหนึ่งที่ประชาชนควรเข้าใจคือ เรื่องราวที่ปรากฏผ่านสื่อสาธารณะทั้งหมดอาจไม่ได้โยงกับสงครามเย็นโดยตรงเสมอไป แต่พูดในทำนองเปรียบเทียบความใกล้เคียง หรือให้เห็นภาพคล้ายกัน ซึ่งเป็นการชี้นำความคิดอย่างหนึ่ง ชวนให้นึกถึงสงครามเย็น
            นอกจากนี้ พึงระลึกเสมอว่า ผู้ใช้คำว่า “สงครามเย็น” อาจเป็นการใช้ผิดโดยไม่เจตนาเนื่องจากเป็นความเข้าใจผิดส่วนตัว การพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นภาพอย่างรวดเร็ว หรือเกิดจากการใช้ศัพท์เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความรุนแรง ความสำคัญของเหตุการณ์
ผลจากการใช้คำว่าสงครามเย็น :
            ไม่ว่าการใช้คำว่า “สงครามเย็น” มาจากการใช้ผิดโดยเจตนาหรือไม่ ก่อให้เกิดผลโดยสังเขป ดังนี้
            ประการแรก เกิดการสร้างภาพฝ่ายถูก-ฝ่ายผิด
            การใช้คำว่า “สงครามเย็น” ทำให้ผู้รับข่าวสารโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เคยผ่านช่วงสงครามเย็น เกิดการตัดสินใจโดยปริยายว่ารัสเซียเป็นฝ่ายผิด สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกเสรี กำลังทำหน้าที่ปกป้องเสรีภาพ ความเสมอภาพของประชาชนอีกครั้ง เนื่องจากตลอดช่วงสงครามเย็นที่กินเวลายาวนานเกือบ 5 ทศวรรษ รัฐบาลของประเทศโลกเสรีจะกล่อมเกลาให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายสังคมนิยมเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นพวกเผด็จการ ศัตรูของศาสนา จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

            ในเหตุการณ์วิกฤตยูเครน ไครเมีย สื่อหลายสำนักเสนอข่าวในทำนองว่ารัฐบาลโอบามาอ่อนแอ นักการเมืองหลายประเทศเตือนว่าหากสหรัฐฯ ไม่ตอบโต้อย่างแข็งกร้าวจะเป็นเหตุให้รัสเซียปีกกล้าขาแข็ง เป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นๆ ในยุโรป และเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่ประเทศอื่นๆ ที่อาจเลียนแบบ บางคนถึงกับโยงมาฝั่งเอเชีย ว่าจีนอาจบุกยึดหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุที่กำลังพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ให้ภาพว่ารัสเซียเป็นฝ่ายผิดเป็นฝ่ายรุกราน ส่งกระทบต่อความมั่นคงโลก
            ทางด้านรัสเซีย รัฐบาลของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ก็พยายามวาดภาพให้เห็นว่า “พวกตะวันตก” คือตัวปัญหา และเป็นผู้สร้างปัญหามาหลายศตวรรษแล้ว พวกตะวันตกคือพวกจักรวรรดินิยม เข้ารุกราน ยึดครอง ขูดรีดผลประโยชน์จากประเทศที่อ่อนแอกว่า รัฐบาลปูตินเป็นผู้สร้างชาติ สร้างความเจริญ แต่ชาติตะวันตกนำมาซึ่งความหายนะ
            จะเห็นว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างพยายามชี้ว่าตนเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด

            ประการที่สอง เกิดการเลือกข้างโดยปริยาย
            นายอาร์เซนีย์ ยัตเซนยุค (Arseny Yatsenyuk) รักษาการนายกรัฐมนตรียูเครน ร้องขอให้ชาติตะวันตกและประชาคมโลกช่วยปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน ส่วนอดีตนายกฯ นางยูลิยา ทีโมเชงโก (Yulia Tymoshenko) กล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยูเครนจะสูญเสียไครเมีย แต่โลกจะสูญเสียความมั่นคงหากไม่ทำอะไรสักอย่างต่อสถานการณ์ในขณะนี้ ... วันนี้เครมลิน (รัฐบาลรัสเซีย) ได้ประกาศทำสงครามแล้ว ไม่ได้ประกาศต่อไครเมีย หรือต่อยูเครน แต่ประกาศทำสงครามกับโลก” ในอีกวาระหนึ่ง อดีตนายกฯ ทีโมเชงโก กล่าวเรียกร้องให้ชาติตะวันตกร่วมกันต่อต้านประธานาธิบดีปูติน ชี้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อประเทศยูเครนเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ของยุโรปตะวันออกจะตกอยู่ในอันตรายด้วย” ย้ำว่า “จะเรียกร้องต่อบรรดาผู้นำโลกประชาธิปไตยใช้มาตรการขั้นรุนแรงที่สุดเพื่อหยุดยั้งผู้รุกราน”
            คำกล่าวของนายกฯ รักษาการกับอดีตนายกฯ ยูเครนทั้ง 2 ท่าน ต่างมุ่งชี้ว่าชาติตะวันตกซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยกับโลก จะต้องร่วมกันต่อต้านรัสเซีย เท่ากับได้แบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน คือ ทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ที่เป็นมิตรกับชาติตะวันตกจะต้องร่วมกันต่อต้านรัสเซีย

            พฤติกรรมของรัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อ “โลก” หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ได้หลากหลายแง่มุม แต่การนำเสนอของนักการเมือง ผ่านสื่อดังตัวอย่างข้างต้น ค่อนข้างชัดเจนว่ามีเป้าหมายให้ “คนทั้งโลก” ต่อต้านรัสเซีย ช่วยคนทั้งโลกตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร

            ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่คิดจะทำสงครามเต็มรูปแบบกับสหภาพโซเวียต แต่ตลอดเวลาได้ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือ ร่วมกับอำนาจเศรษฐกิจ ปฏิบัติการลับ (Covert Action) เพื่อสร้างปัญหา บ่อนทำลายสหภาพโซเวียตกับบริวารอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการพัฒนาเศรษฐกิจกับการทหาร บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรวมแล้วคือต้องการลดอำนาจอิทธิพลของขั้วสังคมนิยมโซเวียต
            ด้านฝ่ายสหภาพโซเวียตก็อาศัยการโฆษณาชวนเชื่อเช่นกัน พยายามนำเสนอว่าฝ่ายตนต้องการลดการแข่งขันสะสมอาวุธ พยายามหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีชนชั้น พลเมืองผิวสีในสหรัฐฯ ไม่ได้รับความเท่าเทียมดังอุดมการณ์ประชาธิปไตย

            แม้ว่าในยุคนี้จะผ่านพ้นสงครามเย็นมานานแล้ว นายสตีเฟ่น เลนด์แมน (Stephen Lendman) ชี้ว่าสิ่งหนึ่งที่สื่อชาติตะวันตกทำอย่างต่อเนื่องนับจากสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน คือ การโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร หลอกหลวงประชาคมโลกอย่างเป็นระบบ ไม่ต่างจากทางการรัสเซียที่ยังใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือดังที่กระทำเรื่อยมา

ทั้งสหรัฐฯ กับรัสเซียต่างพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ใส่ตน :
            ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียในวิกฤตยูเครน ไครเมีย สหรัฐฯ กับชาติตะวันตกกล่าวหาว่ารัฐบาลรัสเซียกระทำการอันไม่ชอบธรรม ส่งกองกำลังติดอาวุธนับหมื่นเข้าไครเมีย ช่วยจัดตั้งรัฐบาลไครเมียชุดใหม่ที่สนับสนุนตน จนกระทั่งผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียในที่สุด
            นาย Alex Lantier แสดงทัศนะว่ารัฐบาลสหรัฐฯ พยายามโฆษณาชวนเชื่อด้วยการแสดงตนว่าเป็นผู้ปกป้องสันติภาพโลก ปกป้องอธิปไตยยูเครน แต่ไม่ได้พูดถึงการโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดียานูโควิช โดยกองกำลังขวาจัด จนได้รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันที่อิงฝ่ายชาติตะวันตกอย่างแนบแน่น
            ประธานาธิบดีโอบามาโจมตีประธานาธิบดีปูตินว่าใช้กำลังข่มเหงประเทศที่เล็กกว่า ผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่ในความจริงแล้วสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ดำเนินลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน เข้าแทรกแซงกิจการของประเทศอื่น สนับสนุนโค่นล้มรัฐบาลหลายประเทศที่เป็นปรปักษ์ทั้งแบบทางตรงทางอ้อม มีหลักฐานเรื่องเหล่านี้มากมาย การล้มรัฐบาลประธานาธิบดียานูโควิชคือกรณีล่าสุด

            ประธานาธิบดีปูตินเชื่อว่าการล้มรัฐบาลยานูโควิชครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ซ้ำเดิมที่ชาติตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เหมือนครั้งสมัย Orange Revolution เมื่อปี 2004 ที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งประท้วงผลการเลือกตั้ง จนที่สุดแล้วต้องเลือกตั้งใหม่และได้ประธานาธิบดีที่อิงชาติตะวันตก
            การเข้าใจวิกฤตยูเครน ควรมองย้อนหลังอย่างน้อย 10 ปี คือเมื่อ 10 ปีก่อน องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ได้เชิญชวนยูเครนเข้าร่วมกลุ่ม แต่รัสเซียต่อต้านมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าตนจะถูกโดดเดี่ยว ทางด้านนาโตแจงว่าการเข้าเป็นสมาชิกไม่ใช่เรื่องพันธมิตรทางทหารเท่านั้น เพราะมีความร่วมมือหลากหลายด้าน ยกเรื่องกองกำลังรักษาสันติภาพ ที่ยุโรปมีปฏิบัติการในเซอร์เบียเมื่อปี 1999 และการต่อต้านการก่อการร้าย
            เมื่อฝ่ายตะวันตกไม่สามารถใช้นาโตเพื่อดึงยูเครนเข้าพวก เพราะโจ่งแจ้งเกินไป เป็นเรื่องความมั่นคงทางทหารโดยตรง และใช่ว่านักการเมืองยูเครนทุกคนจะเห็นดีเห็นงาม จึงปรับเปลี่ยนโดยนำเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวนำ เสนอให้มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กับยูเครน สอดคล้องกับความต้องการของพัฒนาเศรษฐกิจอันอ่อนแอของยูเครน

            หากยูเครนร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอียู อียูย่อมจะมีอิทธิพลต่อยูเครนมากขึ้น ยูเครนจะกลายเป็นประเทศลำดับที่ 12 ของบรรดาประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรหรือส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตมาก่อน แล้วมาเข้าร่วมกับอียู ในมุมมองของรัสเซียเห็นว่านับวันมิตรประเทศของตนจะลดน้อยถอยลง ในขณะที่อียูใหญ่โตขึ้น

            อีกประเด็นที่สำคัญคือ รัสเซียมีฐานทัพเรือขนาดใหญ่ ที่เซวาสโตโพล (Sevastopol) ในเขตไครเมีย เป็นฐานทัพเก่าแก่ที่สำคัญของรัสเซียตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 เป็นท่าเรือน้ำอุ่นเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในฝั่งยุโรป ฐานทัพเรือดังกล่าวรัฐบาลรัสเซียเช่าจากรัฐบาลยูเครน หากรัสเซียต้องสูญเสียไครเมีย อาจต้องสูญเสียฐานทัพเรือดังกล่าวด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นพลังอำนาจของกองทัพเรือจะถูกบั่นทอนอย่างรุนแรง ความมั่นคงทางทหารของรัสเซียจะถูกกระทบอย่างประเมินค่าไม่ได้ จึงไม่อาจยอมให้ยูเครนเข้ากลุ่มนาโตหรืออียูโดยเด็ดขาด ถือว่าเป็น “เส้นต้องห้าม”
            ข้อสรุปของเรื่องนี้คือ ทั้งสหรัฐฯ กับรัสเซียต่างหวังจะมีอิทธิพลต่อยูเครน ทั้ง 2 ประเทศต่างพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ใส่ตน โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ ตามบริบทที่แต่ละฝ่ายเห็นชอบ นายสตีเฟ่น เลนด์แมน ให้ข้อสรุปว่า การต่อสู้ช่วงชิงระหว่าง 2 มหาอำนาจยังไม่สิ้นสุดเบ็ดเสร็จ ทุกวันนี้สหรัฐฯ ยังเป็นฝ่ายรุก ส่วนรัฐบาลปูตินกำลังปกป้องอธิปไตยของตน

บรรดาชาติมหาอำนาจล้วนขยายอำนาจอิทธิพลเหนือประเทศอื่นๆ :
            ประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่ผ่านมาชี้ว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ย่อมมีการช่วงชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ชาติมหาอำนาจมีผลประโยชน์ที่ต้องการ ที่ต้องรักษามาก บ่อยครั้งที่ชาติมหาอำนาจเผชิญหน้าระหว่างกัน ผ่านสถานการณ์ บริบทต่างๆ

            ยุทธศาสตร์การเอาชนะในยุคนี้ไม่เน้นการรบช่วงชิงดินแดน (ยกเว้น กรณีไครเมียที่กำลังกล่าวถึง เพราะเกี่ยวข้องกับที่ตั้งฐานทัพเรือ แต่ที่สุดแล้วคือเรื่องของการมีอิทธิพลเหนือยูเครน) แต่เป็นการจัดระเบียบโลกที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองให้มากที่สุด ด้วยการทำสงคราม โค่นล้มรัฐบาลประเทศๆ ที่ตั้งตัวเป็นศัตรู รวมทั้งการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อบรรลุเป้าหมาย
            ที่สำคัญคือประเทศจะต้องแผ่อิทธิพลอำนาจ ทำให้ประเทศทั้งหลายมาอยู่ร่วมเป็นพวกเดียวกัน ร่วมกันกำจัดการศัตรูทีละประเทศ บีบให้ศัตรูอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุม หรือกล่าวให้ชัดคือต้องเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศทั้งหลายให้ดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับตน อยู่ใต้อำนาจให้มากที่สุด

            การแผ่อิทธิพลบ่อยครั้งจำต้องอาศัยบริบท หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมา หากหยิบยกสหรัฐฯ เป็นกรณีตัวอย่าง สามารถอธิบายว่า นับจากสิ้นสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน อิทธิพลของอเมริกาขึ้นๆ ลงๆ ในช่วงต้นสหัสวรรษ เมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 อิทธิพลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ผ่านนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายสากล เข้าทำสงครามกับอิรักและอัฟกานิสถาน พยายามดึงทุกประเทศเข้ามาเป็นมิตร ถือว่าหากไม่ช่วยต่อต้านผู้ก่อการร้ายก็เท่ากับเป็นศัตรู
            ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ฐานะเศรษฐกิจการคลังอ่อนแอ รัฐบาลจำต้องลดภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงการปรับลดงบประมาณกลาโหม ปัญหาตกค้างจากการทำสงครามในอิรักกับอัฟกานิสถาน รัฐบาลโอบามาผู้รับมรดกตกทอดจากรัฐบาลชุดก่อนจึงมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จำกัดงบประมาณกลาโหม ไม่พยายามใช้พลังอำนาจทางทหาร จนหลายรัฐบาลหลายประเทศวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา

            แท้ที่จริงแล้ว รัฐบาลโอบามายังต้องการแผ่อิทธิพลเหนือประเทศอื่นๆ แต่ในยามนี้มีเครื่องมือจำกัดเมื่อเทียบกับรัฐบาลชุดก่อน อีกทั้งไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการรุนแรงจัดการรัสเซีย เนื่องจากรัฐบาลรักษาการยูเครนในขณะนี้มีนโยบายอิงตะวันตกอยู่แล้ว และเชื่อว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคมจะได้รัฐบาลที่อิงชาติตะวันตกด้วย ถือว่าบรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่ง ส่วนรัฐบาลปูตินได้ไครเมียกลับมาอยู่กับตน

            ถ้ามองในกรอบกว้าง สหรัฐฯ กับรัสเซียไม่ได้เผชิญหน้าเฉพาะกรณียูเครนที่เพิ่งกลายเป็นประเด็นร้อน ก่อนหน้านี้ 2 ประเทศ มีการเผชิญหน้า มีความขัดแย้งในเวทีอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น สงครามกลางเมืองในซีเรีย กรณีโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่าน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน น่าแปลกใจที่ไม่มีใครพูดว่าความขัดแย้งเหล่านี้เป็นสงครามเย็น และหากจะวิเคราะห์ให้ถึงที่สุด แท้ที่จริงแล้ว “สงครามเย็น” ก็คือ การช่วงชิงอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ของ 2 อภิมหาอำนาจในสมัยนั้นนั่นเอง ไม่ต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เพียงแต่ต่างกันในแง่จะนำเสนอเรื่องราวอย่างไร จะให้ประชาชนรับรู้อย่างไร เรื่องเหล่านี้เป็นโฆษณาชวนเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของสงคราม เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

            ความเข้าใจเรื่องสงครามเย็นอาจเป็นประเด็นไกลตัวสำหรับหลายคน แต่ในยามเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นและพาดพิงเรื่องราวในอดีต สังคมควรมีการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้คนทั่วไปรับรู้ เข้าใจความจริงโดยไม่บิดเบือน เพราะความรู้ สติปัญญาเป็นพลังอำนาจอย่างหนึ่งของชาติ เป็นการสร้างสังคมอุดมปัญญา เป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่เจริญยั่งยืน
พฤษภาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
---------------------------
2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียในวิกฤตยูเครนเป็นสงครามเย็นหรือไม่(ตอนที่ 2)
3.ยูเครนวิกฤตรัสเซียสู้ไม่ถอย (Ookbee)
            ยูเครนเป็นประเทศที่น้อยคนจะรู้จัก เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต เริ่มเป็นรัฐอธิปไตยหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ตั้งแต่ปลายปี 2013 เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่บานปลายจนรัสเซียส่งกองกำลังเข้ายึดไครเมีย และเกิดสงครามกลางเมืองขนาดย่อมในฝั่งตะวันออกของประเทศ แต่ความสำคัญของสถานการณ์ยูเครนในขณะนี้คือการเผชิญหน้า ความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือรัสเซีย อีกฝ่ายคือสหรัฐฯ กับพันธมิตรอียู การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจรุนแรงยืดเยื้อกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเนื่องจากรัฐบาลรัสเซียสู้ไม่ถอย
สนใจอีบุ๊ค คลิกที่รูป
บรรณานุกรม ตอนจบ :
1. Cohen, Stephen F. (2009). Soviet fates and lost alternatives : from Stalinism to the new Cold War. New York: Columbia University Press.
2. Fakiolas, Efstathios T. (2012). International Politics in Times of Change. Tzifakis, Nikolaos. (Ed.). Berlin: Springer-Verlag Berlin Heidelberg.
3. Leffler, Melvyn P. (2007). For the Soul of Mankind: The United States, the Soviet Union, and the Cold War. New York: Hill and Wang.
4. Lendman, Stephen. (2014, March 21). Anti-Russian Media Wars. Now the Confrontation Moves East to “New Russia”. Retrieved from http://www.globalresearch.ca/anti-russian-media-wars/5374705
5. Longworth, Philip. (2005). Russia: The Once and Future Empire From Pre-History to Putin. New York: St. Martin’s Press.
6. Moldavanova, Alisa. (2013). Public Perception of the Sea Breeze Exercises and Ukraine’s Prospects in the Black Sea Region. Retrieved from http://fmso.leavenworth.army.mil/Collaboration/international/Ukraine/Sea-Breeze-exercise.pdf
7. Russia tightens grip on Crimea as West scrambles to respond. (2014, March 3). Fox News/AP. Retrieved from http://www.foxnews.com/world/2014/03/03/russia-tightens-grip-on-crimea-as-west-scrambles-to-respond/
8. The knight Putin and the mad dragon of the West. (2014, March 24). Pravda.ru. Retrieved from http://english.pravda.ru/russia/politics/24-03-2014/127149-knight_putin-0/
9. Tymoshenko urges hard Western line against Russia. (2014, March 16). AFP. Retrieved from http://news.yahoo.com/tymoshenko-urges-hard-western-line-against-russia-111425447.html
10. Ukraine Separatists Hold Ground as U.S. Eyes Sanctions. (2014, April 21). Bloomberg. Retrieved from http://www.bloomberg.com/news/2014-04-20/ukraine-separatists-hold-ground-as-u-s-eyes-sanctions.html
11. Yulia Tymoshenko: 'Kremlin has declared war'. (2014, March 11). Al Jazeera. Retrieved from http://www.aljazeera.com/programmes/talktojazeera/2014/03/yulia-tymoshenko-kremlin-declared-war-20143715542330860.html
-------------------------------