ผลลัพธ์โครงการนิวเคลียร์อิหร่านภายใต้อาห์มาดิเนจาด

8 ปีก่อนเมื่อนายมาห์มุด อาห์มาดิเนจาด เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน เขาสั่งเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ที่ถูกระงับชั่วคราวอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับกล่าวว่าอิหร่านมีสิทธิ มีความชอบธรรมที่จะวิจัยพัฒนานิวเคลียร์เพื่อใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้า ใช้ในทางการแพทย์ ไม่มีเหตุผลที่จะถูกบังคับให้ยุติโครงการ
            การที่อิหร่านจะวิจัยค้นคว้านิวเคลียร์เพื่อใช้ในทางสันติเป็นสิทธิอันพึงมี หลายประเทศทั่วโลกต่างมีโครงการนิวเคลียร์เพื่อใช้ประโยชน์ดังกล่าว บรรดาชาติมหาอำนาจ (สหรัฐ รัสเซีย จีน) ไม่ปฏิเสธสิทธิของอิหร่าน ประเทศรัสเซียได้ช่วยสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำมวลหนัก (heavy-water reactor) ให้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ทุกประเทศจำต้องได้รับการตรวจสอบโครงการตามมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลกของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)
            ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ IAEA มีข้อมูลที่น่าเชื่อว่าอิหร่านไม่ได้เปิดเผยโครงการตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด อีกทั้งมีแนวโน้มสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางทหาร (ผลิตอาวุธนิวเคลียร์) จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีวัตถุประสงค์ทางทหารแฝงอยู่ในโครงการด้วย ด้านรัฐบาลอาห์มาดีเนจาดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาแต่ไม่ยอมให้ทีมงาน IAEA เข้าตรวจสอบสถานที่บางแห่งโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับทางทหาร ทำให้หลายประเทศกล่าวโจมตีโครงการ ในที่สุดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีข้อมติ 1737 เมื่อเดือนธันวาคม 2006 ประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน
            โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงทศวรรษ 1970 กษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่านมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ถึง 23 แห่ง เพื่อผลิตไฟฟ้า 23,000 MV สามารถจ่ายไฟฟ้าแก่อิหร่านทั้งประเทศและส่งออกทั่วอ่าวเปอร์เซีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาบางช่วงโครงการมีความคืบหน้า บางช่วงหยุดชะงัก 8 ปีภายใต้ประธานาธิบดีอาห์มาดีเนจาดเป็นอีกช่วงที่โครงการมีความคืบหน้ามากที่สุดและได้รับการต่อต้านมากที่สุดด้วย เกิดผลกระทบทั้งผลดีผลเสียต่อประเทศ

ผลดีจากโครงการ
            ประการแรก โครงการพัฒนานิวเคลียร์มีความก้าวหน้า
            ดังที่กล่าวแล้วว่าอิหร่านมีโครงการพัฒนานิวเคลียร์ทั้งแต่ทศวรรษ 1970 บางช่วงดำเนินไปด้วยดี บางช่วงหยุดชะงักหรือไม่ค่อยคืบหน้า เมื่อมาถึงยุคของประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจาดที่แม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ถูกคว่ำบาตร แต่ด้วยความพยายามอย่างแรงกล้าใช้ทุกวิถีทาง โครงการจึงเดินหน้าแบบก้าวกระโดด ข้อมูลจากทางการอิสราเอลชี้ว่าอุตสาหกรรมนิวเคลียร์อิหร่านปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าของเกาหลีเหนือกับปากีสถาน และน่าจะสามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
            ประการที่สอง ได้ดำเนินตามแนวทางปฏิวัติอิสลาม
            นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเมื่อปี 1979 ประเทศอิหร่านดำเนินแนวทางต่อต้านการครอบงำจากชาติตะวันตก ต่อต้านอิสราเอล เห็นว่าลัทธิประชาธิปไตยเป็นภัยคุกคามประเทศ การเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์คือตัวอย่างรูปธรรมของการดำเนินตามแนวทางปฏิวัติอิสลาม และเห็นว่าคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเครื่องมือของมหาอำนาจที่ต้องการครอบงำประเทศตน จึงไม่อาจยอมรับมติการคว่ำบาตร ในทางตรงข้ามเห็นว่าการคว่ำบาตรจะช่วยให้ประเทศเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เป็นแรงผลักดันให้ประเทศแข็งแกร่ง มุ่งมั่นดำเนินตามแนวทางปฏิวัติอิสลามต่อไป
            ประการที่สาม เป็นเกียรติภูมิของชาติ
            ประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจาดประกาศว่าความก้าวหน้าด้านนิวเคลียร์เป็นเกียรติภูมิของชาติ เชื่อว่าโครงการเป็นตัวเชื่อมประสานใจของผู้คนทั้งประเทศ เชิดชูความเป็นมุสลิมชีอะฮ์ในเวทีโลก ประชาชนอิหร่านจำนวนมากเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว
            ประการที่สี่ ได้รับความนิยมจากประชาชน
            โครงการพัฒนานิวเคลียร์สัมพันธ์กับนโยบายต่างประเทศโดยตรง เป็นหนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นและเกิดผลกระทบทั้งทางบวกทางลบมากที่สุด ท่าทีนโยบายต่างประเทศอันแข็งกร้าว ไม่ยอมก้มหัวให้กับชาติตะวันตก ต่อต้านอิสราเอล เชิดชูเกียรติภูมิของชาติเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้อาห์มาดิเนจาดได้รับความนิยมจากคนในประเทศอย่างมาก
            โดยรวมแล้ว ผลดีส่วนใหญ่เป็นผลเชิงนามธรรม เป็นเรื่องการของปฏิบัติตามแนวทางปฏิวัติอิสลาม ชื่อเสียงของประเทศและการได้รับความนิยมจากประชาชน

ผลเสียจากโครงการ
            ประการแรก ประเทศถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
            ในบรรดาผลเสียทั้งหมดข้อที่ร้ายแรงที่สุดคือการคว่ำบาตรจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อันที่จริงแล้วข้อมติไม่มีเนื้อหาคว่ำบาตรรุนแรงเท่าไรนัก แต่ผลจากการมีข้อมติ 1737 กลายเป็นความชอบธรรมแก่รัฐบาลอเมริกันกับชาติพันธมิตรที่จะดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวอิหร่านทั้งทางการเมืองระหว่างประเทศกับทางเศรษฐกิจ สามารถออกนโยบายคว่ำบาตรเศรษฐกิจอิหร่านเพิ่มเติมด้วยตนเอง ยิ่งรัฐบาลอาห์มาดิเนจาดแสดงท่าทีแข็งกร้าว โครงการนิวเคลียร์มีความคืบหน้ามากเพียงไร สหรัฐกับชาติพันธมิตรยิ่งเพิ่มแรงกดดันและเรียกร้องให้นานาชาติกระทำเช่นเดียวกัน
            ประการที่สอง ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ กระทบประชาชนทั้งประเทศ
            เศรษฐกิจในยุคของประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจาดมีปัญหาหนัก เหตุที่เป็นเช่นนี้เกิดจากปัจจัยทั้งภายในกับภายนอกประเทศ การถูกคว่ำบาตรเป็นการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอให้ย่ำแย่กว่าเดิม ตัวเลขผู้ว่างงานเพิ่มสูงกว่า 3 ล้านคน อัตราเงินเฟ้อล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 30 ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคถีบตัวสูงอย่างน่าตกใจ
            การคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันจากอิหร่านเป็นมาตรการข้อแรก รายได้จากการขายน้ำมันดิบคิดเป็นร้อยละ 60 ของรายได้การส่งออกทั้งหมด เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานายโกเลม เรซา คาเท็บ ประธานคณะกรรมการงบประมาณรัฐสภาอิหร่านยอมรับว่าเก้าเดือนที่ผ่านมาตัวเลขการส่งออกน้ำมันลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถ้าคิดเป็นกำไรจะลดลงราวร้อยละ 45 ส่งผลให้รัฐบาลเตรียมเสนอแผนรัดเข็มขัด
            ในระยะ 8 ปีดังกล่าวบางช่วงอิหร่านได้รับผลกระทบจากมาตรการไม่มากเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงถึง 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (อ้างอิง NYMEX)  จึงยังมีกำไรงามจากการส่งออกน้ำมัน แต่เมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลงเรื่อยๆ จนเหลือไม่ถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบันผนวกกับหลายประเทศลดการนำเข้าด้วยแรงกดดันจากรัฐบาลโอบามาจึงส่งผลกระทบรุนแรง
            มาตรการคว่ำบาตรข้อสองคือบางประเทศออกกฎหมายห้ามหน่วยงานรัฐ เอกชน ทำธุรกรรมการเงินกับอิหร่าน กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของอิหร่านอย่างรุนแรง ล่าสุดประธานาธิบดีบารัก โอบามาสั่งห้ามทำธุรกิจยานยนต์กับอิหร่าน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์อิหร่านจ้างแรงงานมากเป็นอันดับสองรองจากอุตสาหกรรมน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ คาดว่าผลจากมาตรการดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาคนว่างงาน
            นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันมุ่งใช้แรงกดดันเหล่านี้เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในประเทศอิหร่าน ทำให้รัฐบาลไม่เป็นที่นิยมของประชาชน มีข้อมูลว่าชาวอิหร่านบางส่วนตำหนิรัฐบาลเพราะปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
            ประการที่สาม ประเทศยังไม่อาจใช้ประโยชน์จากโครงการ
            ดังที่กล่าวแล้วว่าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ในระยะ 8 ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามาก แต่หากยึดวัตถุประสงค์ต้องการสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ย่อมต้องประเมินว่ายังไม่บรรลุเป้าหมาย ประชาชนอิหร่านยังไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการแต่อย่างไร และยังไม่อาจกำหนดเวลาที่ชัดเจนว่าจะได้ใช้เมื่อไรด้วย ประเด็นนี้น่าคิดว่าหากรัฐบาลอาห์มาดิเนจาดดำเนินโครงการอย่างโปร่งใสไม่ถูกคว่ำบาตร ประเทศน่าจะมีโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์อย่างน้อย 1 แห่งแล้วคือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำมวลหนักที่เมือง Arak

            ประโยชน์หรือผลดีที่ได้คือชาวอิหร่านมีความภาคภูมิใจที่รัฐบาลกล้าหาญยืนหยัดเผชิญหน้ากับมหาอำนาจโลก ดำเนินตามแนวทางปฏิวัติอิสลาม ในขณะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาคนว่างงาน ค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ประชาชนต้องทุกข์ยากจากการคว่ำบาตร
            ไม่ว่าเพื่อใช้ในทางสันติหรือทางทหาร ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาผู้นำอิหร่านย่อมตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในทุกมิติไม่ว่าจะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แต่ทั้งที่ตระหนักรู้ยังยึดมั่นนโยบายดังกล่าวถึง 8 ปีเต็ม ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่านอกเหนือจากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ยังแฝงด้วยเป้าหมายอื่นที่สำคัญยิ่งหรือไม่ จนเป็นเหตุให้ผู้นำประเทศยอมจ่ายราคายืนหยัดดำเนินโครงการ เป้าหมายสำคัญยิ่งนั้นคืออะไร
            ถ้าหากอนาคตอิหร่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าโครงการของตนมีเพื่อใช้ประโยชน์ในทางสันติดังเช่นหลายประเทศทั่วโลกการคว่ำบาตรก็จะสิ้นสุด ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะดีขึ้นมาก ในทางกลับกัน หากคณะมนตรีความมั่นคงมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าอิหร่านกำลังเข้าใกล้จะมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองก็จะยิ่งดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มข้นขึ้น สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางจะทวีความตึงเครียด และมีโอกาสเกิดความรุนแรงได้ทุกเมื่อ
            สถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงจึงขึ้นกับการประเมินว่าอิหร่านกำลังจะมีอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ การเลือกตั้งทั่วไปในกลางเดือนมิถุนายนนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของนโยบายก็เป็นได้ ประชาคมโลกจะได้คำตอบในไม่ช้า
9 มิถุนายน 2013

ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 6061 วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2556)
---------------
บทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง:
นับจากนี้อีกราว 8 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้งปธน. น่าติดตามว่าส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศของว่าที่ปธน.คนใหม่อย่างไร
IAEA ไม่มั่นใจว่าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านจะมีเพื่อใช้ในทางสันติเท่านั้น เป็นที่มาของมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก
----------------
บรรณานุกรม:
1. Kasra Naji, Ahmadinejad: The Secret History of Iran's Radical Leader (CA: University of California Press, 2008).
2. Bruce W. Jentleson, American Foreign Policy: The Dynamics of Choice in the 21st Century, 4th Edition (N.Y.: W. W. Norton & Company, 2010).
3. Steinitz: S-300s sold to Syria may end up in Iran, The Jerusalem Post, 4 June 2013, http://www.jpost.com/Middle-East/Steinitz-S-300s-sold-to-Syria-may-end-up-in-Iranian-hands-315406
4. Iran No Threat to Any State, Iran Daily, 26 August 2006, http://www.iran-daily.com/1385/2645/html
5. Mark Hitchcock, Iran: The Coming Crisis: Radical Islam, Oil, and the Nuclear Threat (CO: Multnomah Books, 2006).
6. Yonah Alexander and Milton Hoenig, The New Iranian Leadership: Ahmadinejad, Terrorism, Nuclear Ambition, and the Middle East (USA: Greenwood Publishing Group, 2008).
-------------------------------------