ข้อเรียกร้องของรัฐบาลเปียงยาง เหมือนดั่งอยู่คนละโลก
ราวเดือนเศษที่สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดเป็นลำดับ
รัฐบาลเปียงยางกล่าวหาสหรัฐสมคบคิดกับเกาหลีใต้เตรียมรุกรานเกาหลีเหนือ ผู้นำคิม จ็อง-อึนตรวจเยี่ยมหน่วยทหารต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลเปียงยางประกาศว่าประเทศอยู่ในภาวะสงคราม
เตรียมชิงลงมือโจมตีสหรัฐด้วยอาวุธนิวเคลียร์ก่อน
มาบัดนี้ทางการเกาหลีเหนือประกาศพร้อมเจรจาถ้าหาก ‘เกาหลีใต้กับสหรัฐยุติพฤติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์
คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
ยุติการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ สหรัฐถอนอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดออกจากคาบสมุทร’
ในมุมมองของรัฐบาลเกาหลีเหนือเห็นว่าสหรัฐกับพันธมิตรเป็นฝ่ายรุกรานตนด้วยวิธีการต่างๆ
นานา ข้อเรียกร้องเพื่อนำสู่การเจรจาสะท้อนลักษณะดังกล่าวแต่มีข้อโต้แย้งเรียงตามลำดับ
ดังนี้
ประการแรก เกาหลีเหนือเห็นว่าสหรัฐกับเกาหลีใต้ดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อตน
ข้อนี้เป็นหลักคิดพื้นฐานของรัฐบาลเปียงยาง
เห็นว่าสหรัฐแสดงอาการเป็นปฏิปักษ์และเป็นผู้ก่อความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี เริ่มจากการที่สหรัฐกล่าวหาการปล่อยดาวเทียมของเกาหลีเหนือเพื่อใช้ในทางสันติเมื่อปลายปีที่แล้วว่าเป็นการ
“ปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีป” และเมื่อเกาหลีเหนือทดสอบนิวเคลียร์เพื่อใช้ป้องกันตนเองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สหรัฐอาศัยคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติออก “ข้อมติคว่ำบาตร” เกาหลีเหนือ
เหตุผลข้ออ้างของเกาหลีเหนือมีทั้งส่วนที่สมเหตุผลกับส่วนที่ไม่สมเหตุผล
จรวดพิสัยไกลมีคุณลักษณะใช้ประโยชน์ได้สองทาง (dual-use)
คือสามารถใช้ขนส่งดาวเทียมเพื่อใช้ในทางสันติกับสามารถปรับเปลี่ยนเป็นอาวุธใช้ในยามสงคราม
การกล่าวอ้างว่าพัฒนาเพื่อใช้ในทางสันติจึงใช้ได้เสมอ
ในทางกลับกันย่อมเป็นเหตุให้ประเทศอื่นคิดว่าจรวดดังกล่าวสามารถกลายเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปได้เช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเปียงยางประกาศชัดว่าต้องการมีอาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันประเทศ
จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เกาหลีเหนือจะพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ เป็นแนวทางทั่วไปของประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์
ตามข้อเท็จจริงแล้วเกาหลีเหนือเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐ เกาหลีใต้มาโดยตลอด
ตั้งแต่สงครามเกาหลีในทศวรรษ 1950
และแม้สิ้นสุดสงครามเย็นมาจนถึงยุคปัจจุบันความเป็นปฏิปักษ์ยังคงอยู่โดยไม่ต้องอ้างเรื่องการพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์แต่อย่างไร
ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดล่าสุดเป็นผลพวงจากการที่เกาหลีเหนือปล่อยจรวดขนส่งดาวเทียมกับการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุด
และการตอบโต้จากสหรัฐกับพันธมิตร
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมีส่วนทำให้สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดด้วยกันทั้งคู่
ประการที่สอง เรื่องข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
เกาหลีเหนืออ้างว่ารัฐบาลสหรัฐชี้นำคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติออกข้อมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ
การอ้างเช่นนี้เท่ากับอ้างว่าจีนกับรัสเซียอยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐด้วย
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าทั้งสองประเทศคิดเห็นตรงกับอเมริกาบางเรื่องและคิดเห็นแตกต่างหลายเรื่อง
จีนกับสหรัฐเป็นสองมหาอำนาจที่ขัดแย้งกันในหลายเรื่องโดยเฉพาะประเด็นด้านความมั่นคง
จีนไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐ แต่ได้ร่วมปรึกษาอย่างใกล้ชิดเพื่อออกข้อมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือภายใต้การเห็นชอบร่วมกัน
น่าจะกล่าวได้ว่าข้อมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือล่าสุด (ข้อมติ 2094)
คือข้อมติที่จีนต้องการเตือนเกาหลีเหนือโดยตรงเพราะหากจีนไม่เห็นด้วยข้อมติดังกล่าวย่อมไม่อาจเกิดขึ้น
ความตั้งใจของรัฐบาลเปียงยางคือพยายามกล่าวโทษสหรัฐเพียงฝ่ายเดียวว่าเป็นต้นเหตุของข้อมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือแต่ที่จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น
ประการที่สาม
เรียกร้องให้สหรัฐกับเกาหลีใต้ยุติการซ้อมรบ
ข้อเรียกร้องขอให้ยุติการซ้อมรบเป็นเรื่องแปลก
เพราะเป็นที่เข้าใจว่าสหรัฐกับเกาหลีใต้มีการซ้อมรบร่วมเสมอ
และความจริงสหรัฐไม่เพียงซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้เท่านั้น
กองทัพสหรัฐซ้อมรบร่วมกับมิตรประเทศทั้งหลายอยู่เสมอ
ประเด็นอยู่ที่รัฐบาลเปียงยางอ้างว่าการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ภายใต้ชื่อ
Foal Eagle แท้ที่จริงไม่ใช่เป็นการซ้อมรบ
แต่เป็นแผนอันแยบยลของสหรัฐที่จะใช้เหตุดังกล่าวระดมกำลังทหารเตรียมรุกรานประเทศเกาหลีเหนือ
โดยทำให้นานาชาติเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงการซ้อมรบประจำปี
ประเด็นโต้แย้งของเรื่องนี้คือหากประธานาธิบดีบารัก
โอบามาดึงดันที่จะทำสงครามโดยไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
จะเกิดประเด็นตามมาว่าชาวอเมริกันจะเห็นด้วยหรือไม่ ที่ผ่านมายังไม่มีรัฐบาลชุดใดประกาศนโยบายทำสงครามรุกรานเกาหลีเหนือแต่อย่างไร
นโยบายของรัฐบาลโอบามาคือพยายามจูงใจให้รัฐบาลเปียงยางเลิกล้มโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแลกกับความช่วยเหลือ
แต่หากรัฐบาลเปียงยางดื้อดึงสหรัฐจะดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือ
เสริมระบบป้องขีปนาวุธ และทำให้มั่นใจว่าพันธมิตรสหรัฐจะสามารถรับมือเกาหลีเหนือได้
ประการที่สี่
กองทัพสหรัฐประจำการอาวุธนิวเคลียร์ตลอดเวลา
ความเข้าใจเบื้องต้นคือกองทัพสหรัฐมีอาวุธนิวเคลียร์ประจำการอยู่ตลอดเวลา
ทั้งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์กับยุทธวิธี สามารถโจมตีเกาหลีเหนือได้ตลอดเวลา (หากต้องการ) โดยไม่จำต้องอาศัยอาวุธที่อยู่ในคาบสมุทรเกาหลีหรือบริเวณใกล้เคียง
เหตุการณ์ที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 กับ B-2
ใช้เวลาบินเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงคาบสมุทรเกาหลีเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ไม่นับขีปนาวุธรูปแบบอื่นๆ ของสหรัฐอีกจำนวนมากที่สามารถยิงจากจุดที่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร
และเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐจะยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์เพราะเหตุเกาหลีเหนือเรียกร้อง
เพราะอาวุธเหล่านี้มีเพื่อปกป้องผลประโยชน์อื่นๆ มากมายมหาศาล
ดังนั้นข้อเรียกร้องให้สหรัฐถอนอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดออกจากคาบสมุทรจึงไม่เป็นเครื่องประกันว่าเกาหลีเหนือจะไม่ถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์แต่ประการใด
จะเห็นว่าข้อเรียกร้องเพื่อนำสู่การเจรจาของเกาหลีเหนือเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุผล
บิดเบือนความจริงและสหรัฐไม่อาจตอบสนองได้ ทำให้สถานการณ์แลดูสับสน
ทั้งนี้เป็นผลจากพื้นฐานความคิดของรัฐบาลเปียงยางว่าประเทศตนกำลังจะถูกอเมริการุกราน
สิ่งที่รัฐบาลเปียงยางพยายามทำคือการป้องกันประเทศ
แต่หากตัดความสับสนเหล่านี้ออกไปจะเหลือเพียงข้อสรุปอย่างง่ายๆ ว่า ณ
บัดนี้รัฐบาลเปียงยางต้องการให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ
ขอให้นานาชาติเลิกคว่ำบาตรประเทศตน
แม้เหลือข้อสรุปแบบง่ายๆ
ดังกล่าว ยังมีคำถามว่าเกาหลีเหนือจะยอมละทิ้งโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อันเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดได้หรือไม่
ผู้นำคิม จ็อง-อึนประกาศเมื่อไม่นานนี้ว่า
“กองกำลังอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นเหมือนตัวแทนชีวิตของประเทศ ที่ไม่อาจละทิ้งตราบเท่าที่พวกจักรวรรดินิยมกับภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ยังคงดำรงอยู่ในโลก”
เมื่อผนวกนโยบายดังกล่าวกับความจริงที่ว่าสหรัฐจะคงอาวุธนิวเคลียร์ของตนต่อไป
เท่ากับว่าเกาหลีเหนือไม่อาจละทิ้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน ต้นตอแห่งความขัดแย้งจะยังดำรงอยู่ต่อไป
มีความเป็นไปได้ว่าคาบสมุทรเกาหลีจะคืนสู่ความสงบระยะหนึ่ง
แต่เป็นความสงบที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาใหม่ในอนาคต เพราะพื้นฐานความคิดที่รัฐบาลเกาหลีเหนือแสดงออกแตกต่างจากสหรัฐอย่างมากเหมือนดั่งอยู่คนละโลก
ข้อเรียกร้องของรัฐบาลเปียงยางสะท้อนลักษณะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
22 เมษายน 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 6012 วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2556)
---------------
บทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง
--------------------------
บรรณานุกรม:
1. DPRK unveils twin goals of economic construction, nuclear
capability, Xinhua, 31 March 2013, http://news.xinhuanet.com/english/world/2013-03/31/c_132274938.htm
2. (2nd LD) N. Korea says S. Korea, U.S. must stop
provocations for talks, Yonhap, 18 April 2013, http://english.yonhapnews.co.kr/national/2013/04/18/69/0301000000AEN20130418011300315F.HTML
3. KCNA Commentary Urges U.S. to Properly Understand Root
Cause of Grave Situation in Korea, KNCA, 18 April 2013, http://www.kcna.co.jp/item/2013/201304/news17/20130417-18ee.html
4. Full text: State of the Union Address, USA TODAY,
12 February 2013, http://www.usatoday.com/story/news/politics/2013/02/12/state-of-the-union-obama-text/1914769/
5. “North Korea: U.S. Relations, Nuclear Diplomacy, and
Internal Situation,” Congressional Research Service, 4 January 2013, http://www.fas.org/sgp/crs/nuke/R41259.pdf
6. Barbara A. Bardes, Mack C. Shelley and Steffen
W. Schmidt, American Government and Politics Today: Essentials, 2011 -
2012 Edition, (USA: Wadsworth, Cengage Learning, 2012
---------------