รัสเซียบุกยูเครนละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อโต้แย้งคือการบุกเข้าไปเป็นการป้องกันตัวเอง เป็นแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลหลายประเทศใช้
มิถุนายน 2002 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) เอ่ยถึงหลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” (preemption) ว่ายุทธศาสตร์ป้องปรามและปิดล้อมที่ใช้ในยุคสงครามเย็นไม่เหมาะสมอีกแล้วหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 “ถ้าเรารอให้ภัยคุกคามก่อตัวจนเต็มที่ เรารอนานเกินไป เราต้องสู้กับศัตรู ทำลายแผนและเผชิญหน้าภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดก่อนที่ภัยคุกคามจะปะทุออกมา”
สรุปได้ว่าหลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” (preemption) ของสหรัฐหมายถึง
สหรัฐมีความตั้งใจโจมตีข้าศึกที่แสดงท่าทีคุกคามก่อนที่พวกเขาลงมือจริง
จะไม่รอให้ถูกโจมตีก่อนจึงโต้กลับ ด้วยความคิดที่ว่า ตนมีสิทธิ์และความชอบธรรมที่จะชิงโจมตีประเทศใดๆ
ที่เห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง ถ้าเป็นภัยคุกคามที่จวนจะถึงตัวแล้ว (imminent
threat)
การชิงลงมือก่อนเป็นการป้องกันตนเองรูปแบบหนึ่ง
และตั้งอยู่บนความคิดที่ว่า “ยิ่งปล่อยไว้
ภัยคุกคามจะยิ่งใหญ่โต ยิ่งยากแก่การป้องกัน” โดยเฉพาะหากผู้ก่อการร้ายคิดโจมตีด้วยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
(weapons of mass destruction : WMD)
การชิงลงมือก่อนยังหมายถึงสหรัฐจะรุกรบกระทำการโดยฝ่ายเดียว
(act unilaterally) ไม่รอการรับรองจากสหประชาชาติ
อันที่จริงแล้วรัฐบาลอเมริกันในอดีตหลายชุดหลายสมัยดำเนินนโยบายต่อต้านรัฐบาลประเทศใดๆ
ที่เป็นภัยคุกคามจนถึงขั้นบ่อนทำลาย โค่นล้มรัฐบาลประเทศนั้นๆ มีหลักฐานปรากฏมากมาย
รัฐบาลสหรัฐยอมรับในบางกรณี บางครั้งเป็นปฏิบัติการลับทางทหาร รวมถึงการโจมตีด้วยเครื่องบินไร้พลขับ
(drone)
ไล่ล่าสังหารศัตรู
ในแง่วิชาการ “การชิงลงมือก่อน”
น่าจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกคือส่งกองทัพเข้ารุกรานอย่างเปิดเผย เช่น กรณีอิรัก แบบที่
2 คือ ปฏิบัติการลับทั้งทางการเมืองและการทหาร โจมตีด้วยเครื่องบินไร้พลขับ
กำจัดศัตรูด้วยการทำให้เสียชีวิต โค่นล้มรัฐบาล
ตัวอย่างกรณีอิรัก
:
รัฐบาลบุชใช้หลักนิยม “ชิงลงมือก่อน”
เมื่อทำสงครามกับอิรัก อ้างว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนสะสมอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
(WMD) จำนวนมากรวมทั้งอาวุธนิวเคลียร์ ชี้ว่ารัฐบาลซัดดัมมีประวัติใช้อาวุธ
WMD กับประชาชนตนเอง (ใช้อาวุธเคมี) อาจมอบอาวุธนิวเคลียร์แก่ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐ
เป็นภัยคุกคามจวนตัว
ทุกวันนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าความจริงแล้วอิรักไม่มีอาวุธนิวเคลียร์
รัฐบาลสหรัฐอ้างเหตุผลเพื่อรุกรานอิรัก
และควรบันทึกด้วยว่าในช่วงนั้นราคาน้ำมันพุ่งทะยานยาวนาน ภาพลักษณ์รัฐบาลสหรัฐในสายตาต่างชาติเสียหาย
เนื่องจากชาติพันธมิตรหลายประเทศไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น อีกทั้งพิสูจน์แล้วว่าข้ออ้างของบุชเป็นเท็จ
ตัวอย่างมุ่งเป้าอิหร่าน
เกาหลีเหนือ :
รัฐบาลอิสราเอลมักจะย้ำเสมอว่าตนพร้อม
“ชิงลงมือก่อน” กับอิหร่าน
หลักคิดของอิสราเอลคือเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรหากเกิดสงคราม
อิสราเอลอาจเสียหายหนักหรือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ประเมินว่าหากระเบิดนิวเคลียร์ขนาดย่อมตกใส่ใจกลางเมืองหลวง
อิสราเอลจะไม่เหลือความเป็นรัฐทันสมัยอีกเลย
จุดยืนคือถ้าอิหร่านมีหรือกำลังจะมีอาวุธนิวเคลียร์
หากรัฐบาลสหรัฐไม่โจมตีทำลายอาวุธนิวเคลียร์เหล่านั้น อิสราเอลจะชิงลงมือด้วยตนเอง
การชิงโจมตีอิหร่านมีความเป็นไปได้
อิสราเอลเคยใช้เครื่องบินรบบินถล่มเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของอิรัก Osiraq เมื่อค.ศ.1981 ด้วยความคิดว่าอิรักจะใช้เตาปฏิกรณ์ดังกล่าวสร้างอาวุธนิวเคลียร์
รัฐบาลอิสราเอลชุดปัจจุบันนาฟทาลี
เบนเน็ตต์ (Naftali Bennett) ยังยึดหลักการนี้ พูดเป็นระยะว่าขีปนาวุธ
โครงการนิวเคลียร์อิหร่านเป็นภัยคุกคาม จะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์
อิสราเอลจะทำสิ่งที่ตนเห็นควร ในระยะหลังขีปนาวุธรุ่นใหม่ของอิหร่านมีขีดความสามารถมากขึ้น
ยิงไกลถึงอิสราเอล คุกคามมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่กี่ปีมานี้สัมพันธ์อิสราเอลกับรัฐอาหรับดีขึ้นตามลำดับ
เป็นอีกปัจจัยส่งเสริมหากสักวันหนึ่งอิสราเอลลงมือโจมตีอิหร่าน จะไม่ต้องกังวลการรุมโต้กลับจากรัฐอาหรับดังเช่นอดีตอีก
เกาหลีเหนือเป็นอีกตัวอย่าง
ต้นปี 2018 โอริตะ คูนิโอะ (Orita Kunio) อดีตผู้บัญชาการกองทัพอากาศญี่ปุ่น
ฝ่ายสนับสนุนทางอากาศ (Air Support Commander) แสดงความเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงโจมตีก่อน
(preemptive strike) หากเห็นว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อตนและพันธมิตรจริง
และเป็นกระทำที่ชอบธรรมเพราะเป็นการป้องกันตนเอง ไม่ได้ล้มล้างรัฐบาลอีกฝ่าย
เหล่านี้เป็นบางตัวอย่างที่เอ่ยถึงการใช้หลักนิยมชิงลงมือก่อนในปัจจุบัน
หลายปีมาแล้วที่รัสเซียอ้างว่าระบบปล่อยขีปนาวุธที่สหรัฐติดตั้งในโปแลนด์กับโรมาเนียสามารถบรรจุจรวดร่อน
Tomahawk ที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ และตอนนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไบเดนมีความคิดตั้งติดระบบปล่อยดังกล่าวในยูเครนด้วยหากยูเครนเป็นสมาชิกนาโต
สามารถยิงใส่เมืองหลวงมอสโกภายใน 4-5 นาที
นาโตไม่ยอมรับข้อกล่าวหาดังกล่าว เรื่องนี้กลายเป็นข้อพิพาทและร้ายแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลทรัมป์ยกเลิกสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางและใกล้
หรือ Intermediate-Range Nuclear
Forces (INF) Treaty 1987 ทำให้ยุโรปตึงเครียดเพราะ INF มีเพื่อลดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
ทั้งยังลามมาที่อินโด-แปซิฟิก ทันทีเมื่อสหรัฐถอนตัวจาก
INF มาร์ก
เอสเปอร์ (Mark Esper) รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวว่าสหรัฐอาจเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ติดตั้งภาคพื้นดินอีกครั้ง
หวังจะติดตั้งที่ใดที่หนึ่งในเอเชีย
ท่ามกลางกระแสข่าวติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่เอเชีย
โรดริโก ดูเตร์เต (Rodrigo
Duterte) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ประกาศทันทีจะไม่ยอมให้สหรัฐนำอาวุธนิวเคลียร์มาประจำการในประเทศเพื่อต้านจีน
การเป็นพันธมิตรนิวเคลียร์ไม่ช่วยอะไร หากเกิดสงครามนิวเคลียร์จะพังพินาศไปพร้อมกัน
ทำไมต้องยอมให้ประเทศเป็นพื้นที่ลูกระเบิดนิวเคลียร์หล่นใส่
เหตุที่ประธานาธิบดีดูเตร์เตรีบออกมาพูดเช่นนั้นอาจเป็นเพราะฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งใน
major non-NATO ally ของสหรัฐนั่นเอง
ส่วนเหตุผลหลักที่รัสเซียบุกยูเครนคือการสร้างรัฐกันชน
(buffer state) เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของรัสเซียที่มีมาช้านาน
เฉพาะกรณียูเครนฝ่ายรัสเซียพูดหลายปีแล้วว่าเป็นเส้นต้องห้าม
(red line) ห้ามยูเครนเป็นสมาชิกนาโต ทุกประเทศรับทราบรวมทั้งรัฐบาลยูเครนชุดปัจจุบัน
จึงไม่แปลกที่ปูตินสั่งกองทัพบุกยูเครน
เพราะละเมิดเส้นต้องห้ามแล้ว
ดังนั้น การที่รัฐบาลปูตินส่งกองทัพเข้ายูเครนเป็นการทำตามเส้นต้องห้ามที่ประกาศนานหลายปีแล้ว
และเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ว่ารัสเซียจะทำอย่างไรหากถูกข่มขู่คุกคาม
รัสเซียบุกยูเครนละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ข้อโต้แย้งคือการบุกเข้าไปเป็นการป้องกันตัวเอง เป็นแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลหลายประเทศใช้
ไม่ว่าเหตุผลถูกหรือผิด
ความจริงคือกองทัพรัสเซียบุกเข้าไปแล้ว
ประวัติศาสตร์บันทึกว่าในปี 431
ก่อนคริสต์ศักราช สปาร์ตา
(Sparta) กับเอเธนส์ (Athens) ทำสงครามต่อกัน
ธูซิดดิดีส (Thucydides) อธิบายว่าเหตุเกิดจากดุลอำนาจเสียไป
แต่เดิม 2 รัฐอยู่ในความสงบโดยที่สปาร์ตามีอำนาจเหนือกว่า แต่เมื่อสปาร์ตาเห็นว่าเอเธนส์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
และเกรงว่าสักวันหนึ่งอาจรุกรานสปาร์ตา จึงตัดสินใจชิงโจมตีเอเธนส์ก่อน
โลกเป็นเช่นนี้
----------------
1. Bouris, Erica. (2006). National Security Strategy of the
United States. In Encyclopedia Of United States National Security.
(pp.502-505). California: Sage Publications.
2. Corsi, Jerome R. (2009). Why Israel Can't Wait: The
Coming War Between Israel and Iran. New York: Threshold Editions.
3. Do We Understand War? Japanese Experts Discuss the Realities
of Confronting North Korea. (2018, January 10). Japan Forward. Retrieved
from https://japan-forward.com/do-we-understand-war-japan-experts-discuss-realities-of-confronting-north-korea/
4. Dunne, Charles W. (2011). Iraq: Policies, Politics, and
the Art of the Possible. In Akbarzadeh, Shahram (editor). America's
Challenges in the Greater Middle East: The Obama Administration's Policies (pp.11-30).
New York: Palgrave Macmillan.
5. D'Anieri, Paul. (2012). International Politics: Power
and Purpose in Global Affairs. USA: Wadsworth.
6. Ismael, Tareq
Y., & Haddad, William W. (2004). Iraq: The Human Cost of History.USA:
Pluto Press.
7. Martin, Jerome V. (2008).
Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty. In The Encyclopedia of the Cold War: A Student Encyclopedia. (pp.1364-1366). USA: ABC-CLIO.
8. National Institute for South China Sea Studies. (2020,
June). The U.S. Military Present in the Asia-Pacific 2020. Retrieved from http://www.nanhai.org.cn/uploads/file/20200623/jlbg.pdf
9. ‘The
end of us all!’ Duterte will NEVER let US deploy nukes & mid-range missiles
in the Philippines. (2019, August 7). Al Arabiya. Retrieved from
https://www.rt.com/news/465940-manila-no-us-nukes-inf/
10. Tucker,
Spencer C. (2008). Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty, 8 December 1987.
In The Encyclopedia of the Cold
War: A Student Encyclopedia.
(pp.2753-2755). USA: ABC-CLIO.
11. US
Defence Secretary says he favours placing intermediate-range missiles in Asia.
(2019, August 3). Gulf Times.
Retrieved from https://www.gulf-times.com/story/638168/US-Defence-Secretary-says-he-favours-placing-inter
--------------------------