ทุกวันนี้การเปิดฉากทำสงครามเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับนานาชาติ ไม่อาจเกิดขึ้นง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ชั่ววูบภายใต้การตัดสินใจของไม่กี่คน ยิ่งเป็นสงครามนิวเคลียร์ยิ่งเป็นไปได้ยากมาก
ในขณะที่มีเหตุผลน่าเชื่อว่าโลกสุ่มเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์มากขึ้น
แต่ในอีกมุมชี้ว่าโอกาสเกิดน้อยมาก บทความนี้นำเสนอเหตุผลที่โลกไม่เกิดสงครามนิวเคลียร์
6 ประการตามบริบทโลกล่าสุด ดังนี้
ประการแรก
สงครามเย็นใหม่ที่สหรัฐเล่นฝ่ายเดียว
ไม่กี่ปีมานี้มีการเอ่ยถึงสงครามเย็นครั้งใหม่
คราวนี้มุ่งเป้าความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับจีน (รัสเซียมีส่วนด้วย) รัฐบาลทรัมป์กับ
ส.ส. ส.ว. หลายคนมักใช้คำว่า “รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน” เพื่อพยายามตีตราว่าจีนปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์
สร้างภาพความขัดแย้งระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
แต่หากมองตามเนื้อแท้ความเป็นจริงนับวันจีนจะเปิดประเทศมากขึ้น ใช้ระบบการค้าเสรีภายใต้องค์การค้าโลก
สังคมจีนยุคปัจจุบันมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าอดีต
เพียงแต่พรรคคอมมิวนิสต์ยังเป็นแกนกลางควบคุมอำนาจประเทศ สหรัฐต่างหากที่ถอยตัวออกจากโลกเสรี
ละเมิดข้อตกลงองค์การค้าโลก บริหารประเทศแบบอำนาจนิยมมากขึ้น
เป็นเวลานานแล้วที่รัฐบาลจีนไม่ได้ส่งเสริมเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์
มุ่งสร้างสัมพันธ์รอบทิศ ทำมาค้าขายกับนานาชาติมากกว่า ไม่แปลกที่หลายประเทศมีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญรวมทั้งสหรัฐ
ทุกวันนี้แทบทุกประเทศมีสัมพันธ์กับจีน (ต่างจากการปิดล้อมในยุคสงครามเย็น) นานาชาติปัจจุบันให้ความสำคัญกับสันติภาพมากกว่าความขัดแย้ง
การจะจุดความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์การเมืองจึงเป็นเรื่องยาก เพราะสวนทางความจริง ไม่ตอบโจทย์บริโลกปัจจุบัน
ประการที่
2 การอยู่รอดสำคัญที่สุด
“ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ”
(National Security Strategy) ระบุว่านโยบายของรัฐบาลสหรัฐมักตั้งอยู่บนหลักสัจนิยม
(Realism) เป็นความคิดนำ (dominated thinking) รัฐพร้อมทำทุกอย่าง เสริมสร้างให้ตัวเองเข้มแข็งที่สุด เหมือนสัตว์ป่าตัวที่เข้มแข็งที่สุดในป่าเพื่อมีชีวิตอยู่รอด
ความขัดแย้งสหรัฐ-จีนเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะทวีความรุนแรง แต่สงครามล้างโลกคือหายนะ
ไม่สนองเป้าหมายการอยู่รอด มีคำถามว่าการทำลายล้างด้วยกันทั้งหมดคือการป้องกันประเทศหรือ
ประโยชน์ของอาวุธนิวเคลียร์อยู่ตรงไหน
ประการที่
3 ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องสำคัญกว่า
ประชาชนย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ ทำไมพวกเขาต้องเสียชีวิต ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในโลกหลังสงคราม
แค่จินตนาการว่าต้องกักตุนอาหาร เด็กนักเรียนฝึกเข้าหลุมหลบภัยนิวเคลียร์อย่างยุคสงครามเย็น
เท่านี้ก็น่าปวดหัวน่าหวาดกลัวมากพอแล้ว ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจจำต้องถึงกับทำสงครามล้างโลกกันเลยหรือ
อุดมการณ์ลัทธิการเมืองใดที่สอนให้ผู้นำประเทศทำเช่นนั้น
คนในยุคนี้ให้ความสำคัญต่อชีวิตที่สุขสบาย
ไม่ใช่เรื่อง่ายที่จะกล่อมให้คนยอมตายเพื่ออุดมการณ์
ประการที่
4 เพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อล้างโลก
ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ต่างให้เหตุผลว่าเพื่อป้องปรามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้นิวเคลียร์
ป้องกันสงครามใหญ่ จึงสรุปว่ามีนิวเคลียร์เพื่อสันติ ประเด็นนี้สามารถถกแถลงได้แต่เป็นจริงไม่น้อย
นอกจากสันติภาพยังใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเจรจา
นอกจากปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้ปัจจัยนอกประเทศ บ่อยครั้งที่อาวุธนิวเคลียร์เป็นประเด็นหาเสียงสำคัญ
เป็นจุดยืนหรือท่าทีของพรรค
อันที่จริงแล้วประวัติศาสตร์สอนว่า การทำลายล้างอีกฝ่ายไม่จำต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์เสมอไป
การทำสงครามใหญ่ไม่เป็นที่นิยมและสูญเสียมาก เป็นเหตุผลว่ารัฐบาลสหรัฐยังคงใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
ประการที่
5 การติดต่อสื่อสาร
หากดูข่าวอาจเห็นภาพความขัดแย้ง
วิวาทะของผู้นำประเทศ การเคลื่อนฝูงบิน กองกำลังเรือรบที่ส่อว่าตึงเครียด แต่ความจริงอีกข้อคือ
แท้จริงแล้วผู้นำประเทศ เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ มีการติดต่อสื่อสารอยู่เสมอ
มากกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวหลายเท่าตัว
การตัดสินใจเปิดฉากทำสงครามเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ
ยิ่งคิดจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อมีวิกฤต
ทุกฝ่ายจะปรึกษาหารือทั้งทางตรงทางลับ ดังเช่นวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา (Cuban
Missle Crisis) เมื่อปี 1962 ลงเอยด้วยต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว
หลีกเลี่ยงสงคราม
มกราคม
1995 เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในโลกที่ประธานาธิบดีรัสเซีย บอริส เยลต์ซิน
(Boris Yeltsin) เปิดกระเป๋าเตรียมยิงนิวเคลียร์เนื่องจากมีสัญญาณปล่อยขีปนาวุธจากอีกฝ่าย
เรื่องลงเอยด้วยดี เป็นความเข้าใจผิดเพราะเป็นเพียงจรวดทดลองวิทยาศาสตร์ของนอร์เวย์
บางคนตีความว่าเรื่องเล็กๆ เช่นนี้อาจทำให้มหาอำนาจใช้อาวุธนิวเคลียร์
แต่การตีความอีกแบบการกระทำของรัสเซียเป็น “ขั้นตอนปฏิบัติปกติ”
เป็นการเตรียมพร้อมเท่านั้น ที่สุดเมื่อสื่อสารกันก็ลงเอยด้วยดี
เมื่อเทียบปัจจุบันกับ 30-40 ปีก่อน ระบบตรวจจับพัฒนาดีขึ้นมาก ดาวเทียมของสารพัดประเทศลอยเต็มท้องฟ้า
(ไม่เฉพาะของชาติมหาอำนาจเท่านั้น) เรดาร์นับร้อยนับพันสถานีคอยตรวจจับตลอด 24
ชั่วโมง ประเทศเหล่านี้จะล่วงรู้หากใครยิงนิวเคลียร์ ส่งเครื่องบินรบ ยิงจริงหรือไม่จริง
ตรวจสอบซึ่งกันและกัน ภายใน 5-10 นาทีบรรดาผู้นำประเทศจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดสงครามล้างโลกจากความเข้าใจผิด
อารมณ์ชั่ววูบจึงไม่มี การใช้หัวรบนิวเคลียร์ต้องผ่านระบบความปลอดภัย
ตรวจสอบหลายชั้นหลายขั้นตอน คอมพิวเตอร์ชุดหนึ่งอาจทำงานผิดพลาดแต่ไม่ใช่ทุกชุดทุกระบบ
ทุกประเทศที่ครอบครองต่างป้องกันเต็มที่ไม่เปิดโอกาสผิดพลาดทางเทคนิค
ไม่เป็นอย่างที่ดูกันในภาพยนตร์
ประการที่
6 ผู้นำสหรัฐไม่ต้องการสงครามล้างโลก
แม้บางครั้งประธานาธิบดีสหรัฐใช้ถ้อยคำรุนแรง
สุ่มเสี่ยงเผชิญหน้ากัน เพิ่มงบประมาณกลาโหม สร้างอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ๆ แต่เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าชนชั้นปกครองอเมริกาคิดทำสงครามนิวเคลียร์
อาจตั้งคำถามว่าชนชั้นปกครองอเมริกาอยากทำสงครามนิวเคลียร์หรือไม่
อยากดำเนินชีวิตต่อในโลกยุคหลังสงครามนิวเคลียร์หรือไม่ คำตอบโดยสามัญสำนึกคือ พวกเขาอยากอยู่ดีกินดี
มีชีวิตยืนยาวอีกหลายๆ ปี ใช้ชีวิตเยี่ยงราชามากกว่า
ประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่าเพราะรู้ว่าหากเกิดสงครามโลกจะหมายถึงการสิ้นสุดอารยธรรม
ประเทศต่างๆจึงไม่คิดทำสงครามใหญ่
สงครามนิวเคลียร์ในโลกแห่งความเป็นจริง :
ดังที่นำเสนอในบทความก่อนว่ามีคนหรือกลุ่มคนที่คิดถึงเรื่องสงครามล้างโลกอยู่เสมอ
เมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์
คนเหล่านี้มักจะพูดในทำนองว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์แล้ว
ถ้าติดตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆ ย้อนหลัง 10 ปี 20 ปี 30
ปีหรือไกลกว่านั้น (ยุคสงครามเย็น) แทบทุกปีจะมีคนพูดว่าจะเกิดสงครามล้างโลกแล้ว
บางปีพูดมากกว่า 1 ครั้ง พูดให้ชัดคือตั้งแต่โลกมีอาวุธนิวเคลียร์
เสียงสงครามล้างโลกก็ดังเรื่อยมา
การเอ่ยถึงสงครามล้างโลกบ่อยๆ
ทำให้เกิดกระแสคิดว่ากำลังจะเกิดสงครามนิวเคลียร์แล้ว
ทำให้หลายคนพลอยคิดว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ในโลกแห่งความจริงการเปิดฉากทำสงครามเป็นเรื่องใหญ่ระดับนานาชาติ
ไม่อาจเกิดขึ้นง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ชั่ววูบอยู่ภายใต้การตัดสินใจของไม่กี่คน
ยิ่งเป็นสงครามนิวเคลียร์ยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ผู้คนในยุคนี้หวังทำมาหากินใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ไม่คิดสละชีพเพื่ออุดมการณ์ ต้องทนทุกข์ยากเพราะผลจากสงคราม
ข้อสรุปของบทความนี้คือ
มีหลายเหตุผลชี้ว่าโลกเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงมากขึ้น อาวุธยุคใหม่รุนแรงกว่าเดิม
แต่เหตุผลเหล่านั้นไม่นำสู่สงครามล้างโลก แต่ไม่ปฏิเสธว่าไม่มีวันเกิด โอกาสที่เป็นไปได้มีน้อยมาก
13 กันยายน
2020
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
24 ฉบับที่ 8707 วันอาทิตย์ที่ 13
กันยายน พ.ศ. 2563)
--------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
เหตุผลโลกเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์มากขึ้น
สงครามใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ภายใต้หลักคิดของรัฐบาลสหรัฐมองว่ากำลังถูกคุกคาม ประเทศตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงจำแก้ไข เกิดความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์
บรรณานุกรม :1. Art, Robert J., Jervis, Robert. (2017). In
International Politics: Enduring Concepts and Contemporary Issues (13th Ed.).
New York: Pearson.
2. Fear of
World War III should stop global disputes, Russia's Putin says. (2018, June 7).
CNBC. Retrieved from https://www.cnbc.com/2018/06/07/russias-vladimir-putin-holds-annual-phone-in.html
3. From pandering to Putin to abusing allies and ignoring
his own advisers, Trump's phone calls alarm US officials. (2020, June 30). CNN.
Retrieved from https://edition.cnn.com/2020/06/29/politics/trump-phone-calls-national-security-concerns/index.html
4. Gray, Colin S. (2007). War Peace and International
Relations: An introduction to strategic history. Oxon: Routledge.
5. Haley, John. (2006). National
Security Strategy Report. In Encyclopedia Of United States National Security.
(pp.505-506). California: Sage Publications.
6. Siracusa, Joseph M. (2008).
Nuclear Weapons: A Very Short Introduction. New York: Oxford
University Press.
7. The nuclear mistakes that nearly caused World War Three.
(2020, August 10). BBC. Retrieved from https://www.bbc.com/future/article/20200807-the-nuclear-mistakes-that-could-have-ended-civilisation
8. U.S.
Department of Defense. (2018). Nuclear Posture Review 2018. Retrieved from
https://media.defense.gov/2018/Feb/02/2001872886/-1/-1/1/2018-NUCLEAR-POSTURE-REVIEW-FINAL-REPORT.PDF
9. Viotti, Paul., Kauppi, Mark. (2009). International
Relations and World Politics (4th Ed.). USA.: Pearson
Education.
10. Younger, Stephen M. (2008). The Bomb: A New History.
USA: HarperCollins Publishers.
--------------------------