ทรัมป์ตอกย้ำอิหร่านภัยคือร้ายแรงที่สุดของอเมริกา

ทรัมป์ใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีอิหร่านเรื่อยมา การพูดอีกรอบในช่วงนี้จึงอาจดูเหมือนไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่ถ้าคิดอย่างมีเหตุผล อาจเป็นการทดสอบปฏิกิริยาคนอเมริกันและอาจเล่นงานอิหร่านให้หนักกว่าเดิม

ความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับอิหร่านเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งหลังสหรัฐยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่คู่สัญญาอื่นๆ (รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันและอิหร่าน) ยังคงรักษาข้อตกลงเดิม พร้อมกับออกมาตรการคว่ำบาตร ห้ามบริษัทเอกชนซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน ทั้งยังห้ามประเทศอื่นๆ ด้วย ขู่ว่าใครซื้อขายน้ำมันอิหร่านจะถูกเล่นงาน
วุฒิสมาชิก ลินซีย์ เกรแฮม (Lindsey Graham) ย้ำว่าอิหร่านคือภัยร้ายแรงสุดของอเมริกาในขณะนี้ พยายามสร้างอาวุธนิวเคลียร์ รัฐบาลพร้อมที่จะล้มระบอบอิหร่าน
            ก่อนหน้านั้นทรัมป์กล่าวถึงอิหร่านว่าอย่าได้ข่มขู่สหรัฐอเมริกาอีก มิฉะนั้นจะถูกตอบโต้สาสมอย่างที่ไม่กี่ประเทศเคยประสบมาก่อน
            ด้านประธานาธิบดีโรฮานีโต้ว่า คุณทรัมป์ อย่าเล่นหางสิงโต เพราะคุณจะเสียใจหากทำสงครามจะกลายเป็นหายนะ อิหร่าน จะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ถ้าอิหร่านส่งออกน้ำมันไม่ได้ ประเทศอื่นๆ จะส่งออกไม่ได้เช่นกัน พร้อมปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Straits of Hormuz) เป็นโอกาสอันดีที่ทั่วโลกจะเห็นนโยบายต่อต้านมุสลิมและความเป็นเชื้อชาตินิยมสุดโต่งของรัฐบาลสหรัฐ
            บทความนี้จะวิเคราะห์ด้วย 2 มุมมอง คือ “มองอย่างไม่มีเหตุผล” กับ “มองอย่างมีเหตุผล”

มองอย่างไม่มีเหตุผล :
            มุมมองอย่างไม่มีเหตุผลอธิบายว่าเนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ยึดถืออิหร่านเป็นปรปักษ์สำคัญลำดับต้นตั้งแต่เริ่มรัฐบาล เป็นศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐ การพูดโจมตีอิหร่านอีกครั้งจึงไม่ใช่ของแปลก การพูดว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคามร้ายแรง หวังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ส่งเสริมก่อการร้าย บ่อนทำลายความมั่นคงประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องเก่าๆ พูดที่ซ้ำมาแล้วหลายรอบ
            การที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดถึงอีกครั้งจึงเหมือนนำหนังเก่ามาฉายซ้ำ ที่อาจถือว่าใหม่คือการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ทรัมป์กล่าวว่า JCPOA “เป็นเรื่องน่าละอายของสหรัฐอเมริกา” “เป็นข้อตกลงห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์” “ไม่ควรทำข้อตกลงแบบนี้เลย”
            ถ้าใช้แนว “มองอย่างไม่มีเหตุผล” คำพูดของทรัมป์รอบล่าสุดเป็นเพียงการยั่วยุ เกิดสงครามน้ำลายสักพัก ท้ายที่สุดไม่มีผลอะไร ทรัมป์ได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้ว

มองอย่างมีเหตุผล :
            ถ้ามองอย่างมีเหตุผล เป็นไปได้ว่าทรัมป์กำลังทดสอบปฏิกิริยาจากนานาชาติและคนอเมริกันอีกครั้ง เหตุเพราะที่ผ่านมาหลายนโยบายบั่นทอนคะแนนนิยมของตน มีผลต่อคะแนนนิยมของพรรครีพับลิกัน ที่การเลือกตั้งกลางเทอมกำลังจะมาถึง (เลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. กลางสมัยรัฐบาล)
            อีกด้านคือมุมมองต่อสหรัฐจากสายตานานาชาติย่ำแย่ลงมาก อาจเป็นการทดสอบปฏิกิริยานานาชาติหากสหรัฐต้องการเล่นงานอิหร่านให้หนักกว่านี้
            ยุทธศาสตร์แม่บทสหรัฐกำหนดเป้าหมายล้มล้างระบอบอิหร่านมาหลายทศวรรษแล้ว เป็นนโยบายเดียวกับพวกซาอุฯ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาอิหร่านจึงตกเป็นเป้า ถูกคว่ำบาตรเรื่อยมา ในสมัยโอบามาแม้จะคลายคว่ำบาตรบ้างแต่ไม่ยุติทั้งหมด บัดนี้นโยบายของทรัมป์ดำเนินตามยุทธศาสตร์แม่บทเดิมอย่างเต็มที่
            สนับสนุนกลุ่มประท้วงในประเทศอิหร่าน
            เมื่อช่วงสิ้นปี 2017 จนถึงต้นปี 2018 ประชาชนอิหร่านจำนวนหนึ่งชุมนุมประท้วงรัฐบาล การประท้วงเริ่มที่เมืองมัชฮัด (Mashhad - เมืองใหญ่อันดับ 2 ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้อัฟกานิสถาน) จากนั้นกระจายไปหลายสิบเมือง
ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มการจ้างงานและลดอัตราเงินเฟ้อ มีการชุมนุมต่อเนื่องหลายวัน ท่ามกลางการชุมนุมมีบางคนที่ใช้อาวุธ หวังก่อความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินราชการ รวมทั้งสถานที่ศาสนา
การชุมนุมดำเนินต่อเนื่องหลายวัน มีรายงานผู้เสียชีวิตหลายสิบราย หลายพันคนถูกจับกุม เหล่านี้ชี้ว่าไม่ใช่การชุมนุมเล็กๆ แน่นอน
            ควรเข้าใจว่าการชุมนุมรอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ยังไม่ยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์ ยังไม่ประกาศห้ามซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน

            6 เดือนต่อมาหรือกลางปีที่ผ่านมา มีเหตุชุมนุมประท้วงใหญ่อีกรอบ ด้วยสาเหตุเดิมคือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา
            ในการชุมนุมรอบนี้ ผู้ชุมนุมบางคนกังวลเรื่องการคว่ำบาตรจากสหรัฐด้วย
            แม้ว่าคนอิหร่านจะคุ้นเคยกับการคว่ำบาตรแต่วิตกกังวลต่อการคว่ำบาตรที่อาจรุนแรงมากในยุคทรัมป์ เพราะจะซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้หนักกว่าเดิม ตัวเลขว่างงานที่รัฐบาลประกาศอยู่ที่ร้อยละ 12.3 และคาดว่าจะสูงขึ้นอีก
            เศรษฐกิจอิหร่านอ่อนแอเป็นเรื่องจริง ประชาชนบางส่วนไม่พอใจรัฐบาลเป็นเรื่องจริง แม้มีข้อโต้แย้งว่าคนเหล่านี้ถูกต่างชาติจ้างวาน เสี้ยมสอนให้ต่อต้านรัฐบาล

            ค่าเงินเรียลอิหร่านหล่นฮวบ
            พร้อมๆ กับการชุมนุมประท้วงรอบกลางปี ปลายเดือนมิถุนายนเงินเรียลในตลาดมืดซื้อขายกันที่ 90,000 เรียลต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจต่อการลงทุนในอิหร่าน แม้ยังไม่กระทบโดยตรงมากนัก แต่กระแสวิตกกังวลพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
            รัฐบาลอิหร่านชี้ว่าเป็นแผนใช้สงครามเศรษฐกิจบ่อนทำลายจากสหรัฐและยอมรับว่าผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจนโยบายรัฐที่ไม่โปร่งใสพอ
ปลายเดือนกรกฎาคม อัตราแลกเปลี่ยนเงินเรียลในตลาดมืดอ่อนตัวลงอีก อยู่ที่ 112,000 เรียลต่อดอลลาร์สหรัฐ
            ถ้ามองอย่างมีเหตุผล การที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดโจมตีอิหร่านในช่วงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนบั่นทอนอิหร่าน สงครามน้ำลายยิ่งแรงเพียงไรยิ่งส่งผลร้ายต่ออิหร่าน
            ที่ผ่านมารัฐบาลอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐเรื่อยมา จึงควรคิดว่าหากทรัมป์พูดจาหาเรื่องอีกครั้ง อิหร่านน่าจะตอบโต้ และครั้งนี้เป็นเช่นนั้น
            สหรัฐสามารถเล่นงานอิหร่านได้ง่ายๆ โดยอาศัยปากทรัมป์
            ประธานาธิบดีโรฮานียอมรับว่าสหรัฐใช้สงครามจิตวิทยาและสงครามเศรษฐกิจเพื่อสร้างความแตกแยกในอิหร่าน ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นและไม่มั่นใจอนาคต

อิหร่านคือภัยร้ายแรงที่สุดของอเมริกา :
            ถ้ายึดว่าความตึงเครียดกรณีเกาหลีเหนือผ่อนคลายแล้ว จะเหลืออิหร่านเพียงประเทศเดียวที่เป็นภัยร้ายแรงด้านความมั่นคง
            ลักษณะหนึ่งที่โดดเด่นมาก ในยุค America First คือรัฐบาลทรัมป์พร้อมทำทุกอย่าง แม้ละเมิดกติกาสากล ละเมิดความชอบธรรม ในกรณีอิหร่านที่เห็นชัดคือการยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์ JCPOA เพียงฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA - หน่วยงานสหประชาชาติที่ดูแลนิวเคลียร์ทั่วโลก) ประกาศเรื่อยมาว่าอิหร่านทำตามข้อตกลงทุกข้อ (ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียและจีนยอมรับเช่นกัน) อิหร่าน ณ วันนี้ไม่เป็นภัยอาวุธนิวเคลียร์ ใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติเหมือนประเทศอื่นๆ แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่ยอมรับข้อสรุปนี้ ตัดสินด้วยตัวเองว่าอิหร่านยังเป็นภัยนิวเคลียร์ สวนทางข้อสรุปของ IAEA (และอีก 5 ประเทศคู่สัญญา)
            เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมวิเคราะห์ต่อได้ว่ารัฐบาลทรัมป์พร้อมทำทุกอย่างด้วยข้ออ้างตรรกะของตัวเองแม้จะขัดแย้งกับนานาชาติก็ตาม ข้อตกลงใดๆ ที่สหรัฐเคยทำกับประเทศใด ไม่ว่าจะทวิภาคีหรือพหุภาคี จะลับหรือไม่ลับ รัฐบาลสหรัฐพร้อมถอนตัวออกเสมอ
 สหรัฐเล่นงานอิหร่านได้อีกไหม :
            ถ้าใช้ตัวอย่างจากอดีต รัฐบาลทรัมป์อาจโจมตีอิหร่านด้วยขีปนาวุธ เหมือนที่เคยทำกับซีเรียและอิรักโดยอ้างเหตุผลบางเรื่อง เช่น ใช้อาวุธเคมี กำลังเร่งสร้างระเบิดนิวเคลียร์ สนับสนุนก่อการร้าย
            ซึ่งหมายถึงยกระดับการเผชิญหน้าที่รัฐบาลสหรัฐดำเนินเป็นขั้นเป็นตอน คล้ายกับที่เคยทำกับอิรักและซีเรีย จนนำสู่สงครามล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซน ประกาศสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอัสซาด จนซีเรียกลายเป็นสงครามกลางเมืองดังที่ปรากฏ

ถ้ามองภาพรวมและพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผลตามแนวคิดทำลายอิหร่าน การเพิ่มแรงกดดันอิหร่านในช่วงนี้เป็นจังหวะอันดี หวังให้ปัจจัยทั้งภายในกับภายนอกที่ต้านระบอบเสริมแรงกัน ถ้าแม้นไม่สามารถล้มระบอบก็ขอให้เกิดสงครามกลางเมือง อิหร่านถดถอยอ่อนแอย้อนกลับหลายสิบปี ดังเช่นซีเรียที่กลายเป็นซากปรักหักพังและยังไม่รู้ว่าจะสงบได้เมื่อไร
            เพียงเท่านี้นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว อิทธิพลชีอะห์อิหร่านที่มีต่อทั่วโลกจะลดต่ำลงมาก ทั้งยังมีประโยชน์อีกหลายเรื่องในระดับภูมิภาค
            ไม่ว่ารัฐบาลอิหร่านจะยอมเจรจาหรือไม่ หากรัฐบาลสหรัฐคิดจะเล่นงาน ย่อมทำได้เสมอ เพราะอิหร่านภัยคือร้ายแรงที่สุดของอเมริกา
5 สิงหาคม 2018
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ สถานการณ์โลกไทยโพสต์ ปีที่ 22 ฉบับที่ 7939 วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2561)
------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง 
อำนาจ 3เส้าผู้หมายครองตะวันออกกลาง
การยอมรับรัฐอิสราเอล ซาอุฯ ไม่มีปัญหาคนยิวทั้งยังมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายอย่างจากปากของมกุฎราชกุมารซัลมาน จะนำสู่การพันธมิตรของ อำนาจ 3 เส้าผู้หมายครองตะวันออกกลางอย่างเปิดเผย
ไม่มีนิยามสากลว่าจันทร์เสี้ยวชีอะห์ครอบคลุมพื้นที่ใด คำตอบที่ถูกต้องไม่มี เพราะแท้จริงแล้วไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนชัดเจน เป้าหมายที่สร้างขึ้นเพื่อจะทำลาย
การชุมนุมประท้วงในอิหร่านไม่เพียงสะท้อนว่าเรื่องปากท้องสำคัญ ที่ลึกกว่านั้นคือพวกเขาเห็นว่ารัฐบาลน่าจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ทำไมรัฐจึงไม่ทำ

บรรณานุกรม :
1. 3,700 people were arrested during Iran protests, lawmaker says. (2018, January 9). CNN. Retrieved from http://edition.cnn.com/2018/01/09/middleeast/iran-protests-3700-arrested-intl/index.html
2. For Europe, the Iran nuclear deal is all about trade. (2018, May 7). The Hill. Retrieved from https://edition.cnn.com/2018/04/22/politics/iran-foreign-minister-nuclear-deal/index.html
3. Iran faces ‘economic disaster’ as currency plunges to new low. (2018, July 31). Arab News. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1348411/business-economy
4. Iran: Economic Crisis Deepens Amid Calls for Rouhani to Resign. (2018, June 26). Asharq Al-Awsats. Retrieved from https://aawsat.com/english/home/article/1312101/iran-economic-crisis-deepens-amid-calls-rouhani-resign
5. Iranians Rally for 3rd Consecutive Day to Condemn Rioters, Show Unity. (2018, January 5). FNA. Retrieved from http://en.farsnews.com/newstext.aspx?nn=13961015000593
6. Mr. Trump, ‘do not play with the lion’s tail’, Rouhani warns. (2018, July 22). Tehran Times. Retrieved from http://www.tehrantimes.com/news/425661/Mr-Trump-do-not-play-with-the-lion-s-tail-Rouhani-warns
7. Rouhani: U.S. seeking to undermine people’s trust. (2018, June 27). Tehran Times. Retrieved from http://www.tehrantimes.com/news/424816/Rouhani-U-S-seeking-to-undermine-people-s-trust
8. Trump offers to meet with Iranian President Rouhani, without preconditions. (2018, July 30). Fox News. Retrieved from http://www.foxnews.com/politics/2018/07/30/trump-offers-to-meet-with-iranian-president-rouhani-without-preconditions.html
9. U.S. State Department. (2017, July 19). State Department Releases Country Reports on Terrorism 2016. Retrieved from https://www.state.gov/j/ct/rls/crt/2016/272235.htm
10. World War 3: Trump is about to pull off something 'VERY BIG' against Iran, says US senator. (2018, July 24). Express. Retrieved from https://www.express.co.uk/news/world/993453/World-War-3-news-Iran-Donald-Trump-Twitter-date-2018
11. Zarif to Trump: Try respect for Iranians and international commitments. (2018, August 1). Tehran Times. Retrieved from http://www.tehrantimes.com/news/426039/Zarif-to-Trump-Try-respect-for-Iranians-and-international-commitments
-----------------------------
David Everett Strickler