เป็นเรื่องตลกถ้าพูดว่ามุสลิมอาหรับเป็นมิตรกับยิว
เพราะที่ได้ยินได้ฟังคือเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกไม่ได้ แต่บัดนี้ผู้นำซาอุฯ
กำลังเปลี่ยนความบาดหมางเป็นความร่วมมือเพื่อจัดการศัตรูอีกฝ่าย
บรรณานุกรม :
มกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammed bin Salman) แห่งซาอุดิอาระเบียเยือนทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันสนับสนุนมกุฎราชกุมารหลังประสบความสำเร็จกระชับอำนาจในประเทศ
ทรัมป์กล่าวว่า “บัดนี้พระองค์เป็นมากกว่ามกุฎราชกุมารแล้ว” ชี้ความสัมพันธ์กับสหรัฐว่า
“น่าจะแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
มกุฎกษัตริย์ซัลมานกล่าวขณะเยือนว่าอิสราเอลมี
“สิทธิ” เหนือดินแดนมาตุภูมิของตน คนยิวมีสิทธิ์แห่งการเป็นรัฐชาติ (nation-state) ที่อยู่ร่วมกับชนชาติอื่นโดยสันติ
ทั้งยังเสนอข้อตกลงสันติภาพเพื่อนำสู่ความสัมพันธ์ตามปกติ ซาอุฯ “ไม่มีปัญหาคนยิว”
ทั้งยัง “มีผลประโยชน์ร่วมกันหลายอย่าง” อธิบายรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมอาหรับกับยิวว่า
“ประเทศของเราไม่มีปัญหากับคนยิว ศาสดามุฮัมมัด (Muhammad)
ของเราแต่งงานกับหญิงยิว ไม่ใช่เพียงเป็นเพื่อนแต่แต่งงานกัน
เพื่อนบ้านของศาสดาก็เป็นพวกยิว ซาอุฯ ในปัจจุบันมีชาวยิวไม่น้อยทั้งจากอเมริกา
ยุโรป”
ได้เวลาปรับแก้ตำราเรียนแล้ว :
ตำราเรียนกระแสหลักจะสอนว่ารัฐบาลซาอุฯ
เป็นศัตรูกับอิสราเอลมานานตั้งแต่ก่อตั้งรัฐอิสราเอลหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อพฤษภาคม 1948 ชาวอาหรับเห็นว่าปาเลสไตน์เป็นพื้นที่ๆ
บรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยมานานแล้วดังเช่นพื้นที่อื่นๆ ของชาวอาหรับ ส่วนพวกอิสราเอลหรือยิวที่กระจัดกระจายบางกลุ่มเห็นว่าดินแดนนี้เป็นที่ตั้งของชนชาติอิสราเอลในอดีตกาลและฝันจะตั้งประเทศบนพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง
การก่อตั้งรัฐอิสราเอลสมัยใหม่กลายเป็นชนวนขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับอย่างรุนแรง
บรรดารัฐอาหรับต่างไม่ยอมรับรัฐอิสราเอล แสดงความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยรุนแรงชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
เกิดสงครามถึง 5 ครั้ง จนกระทั่งปี 1993 ทุกฝ่ายจึงเริ่มหันหน้าเจรจาเพื่อสันติ แม้ความขัดแย้งทุเลาลงบ้างแต่แสดงอาการเป็นระยะๆ
หนักบ้างเบาบ้าง
การมีอยู่ของรัฐอิสราเอลกลายเป็นความขมขื่นของโลกมุสลิม
คนมุสลิมจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ส่งต่อความรู้สึกเกลียดชังอิสราเอล
ดังนั้นหากรัฐบาลอาหรับร่วมมือกับอิสราเอลจริง ตำราเรียนต้องปรับแก้ใหม่มากมาย เรื่องราวในอดีตคือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
ส่วนเรื่องราววันนี้คือหน้าประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากเดิม ที่บัดนี้ดูเหมือนว่ามกุฎราชกุมารซัลมานกำลังลบล้างและ/หรือเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
รัฐอิสราเอลกับอาหรับกำลังจะเป็นมิตร ละทิ้งความเป็นศัตรูคู่อาฆาต
ชมคลิปสั้น 4 นาที
ลึกกว่าการเมืองระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับตะวันออกกลางมักดึงศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งฝ่ายซุนนีกับชีอะห์
นักการศาสนามุสลิมหลายสำนักพร่ำสอนว่ามุสลิมกับยิวเป็นปรปักษ์ต่อกัน จึงเกิดคำถามใหญ่ว่าจะอธิบายในเชิงศาสนาอย่างไร
มุสลิมจับมือกับยิวแล้วใช่หรือไม่ 2 ศาสนิกจะอยู่ร่วมกันโดยสันติแล้วใช่หรือไม่
ไม่ว่ายิวผู้นั้นจะเป็นพวกไซออนิสต์หรือไม่ก็ตาม
ในอีกแง่หนึ่ง
ผู้นำซาอุฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางคำสอนของมุสลิมใช่หรือไม่
ควรบันทึกไว้ว่ามุสลิมบางนิกาย
บางคนอาจไม่เห็นด้วยกับผู้นำซาอุฯ ในเรื่องนี้
ศัตรูซาอุฯ ในปัจจุบัน :
เรื่องที่สำคัญพอๆ กับการเป็นมิตรกับอิสราเอล คือเรื่องที่มกุฎราชกุมารซัลมานพูดว่าปัจจุบันซาอุฯ
มีศัตรูที่เรียกว่า “ความชั่วร้าย 3 เส้า” (triangle of evil) ประกอบด้วยอุดมการณ์ชีอะห์ (Shiite ideology)
เป็นอุดมการณ์สุดโต่ง พวกชีอะห์เชื่อว่าถ้าพยายามเผยแพร่อุดมการณ์จะกระตุ้นให้ hidden
Imam (Muhammad al-Mahdi)
ปรากฏตัวและปกครองโลก
ศัตรูตัวที่ 2 คือ
กลุ่มภารดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) เป็นอีกกลุ่มที่มีแนวคิดสุดโต่ง
กลุ่มนี้อาศัยการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อเข้าถึงอำนาจ หวังสร้างระบอบคอลีฟะฮ์แฝง
(shadow caliphates) ในรัฐบาลประชาธิปไตย
จากนั้นจะขยายอาณาจักรของตนจนเต็มโลก
ศัตรูตัวที่ 3 คือ
พวกผู้ก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์กับ ISIS
มกุฎราชกุมารซัลมานอธิบายเพิ่มเติมว่าศัตรูทั้ง 3
มีเป้าหมายตรงกันข้อหนึ่งคือสร้างระบอบคอลีฟะฮ์ในรูปแบบต่างๆ ศาสดามุฮัมมัด (Muhammad)
ไม่ได้สอนให้ตั้งคอลีฟะฮ์ เพียงให้เผยแพร่คำสอนเท่านั้นซึ่งปัจจุบันสำเร็จแล้ว
เพราะคนในโลกปัจจุบันมีเสรีในการนับถือศาสนา สามารถซื้อหาตำราศาสนามาอ่าน
แนวคิด “ความชั่วร้าย 3 เส้า” ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว ในที่ประชุม
“Arab Islamic American Summit” เมื่อกลางปีที่แล้ว
ต่อหน้าผู้นำมุสลิม 55 ประเทศ กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุล อาซิซ (Salman Bin
Abdul Aziz) ตรัสว่า “การประชุมแสดงให้เห็นชัดว่าชาติอาหรับกับอิสลามผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด
55 ประเทศ อันประกอบด้วยประชากรกว่า 1,500 ล้าคน
ร่วมเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการต่อสู้พลังลัทธิสุดโต่ง (extremism) กับลัทธิก่อการร้าย (terrorism) เพื่อสันติภาพ
ความมั่นคงและเสถียรภาพโลก” การประชุมช่วยกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐ
“ด้วยความรับผิดชอบต่ออัลเลาะห์ (Allah) ต่อประชาชนของเราและต่อโลก เราจะยืนเคียงข้างต่อสู้พลังความชั่ว (forces
of evil) กับลัทธิสุดโต่ง”
“ทุกวันนี้เราเห็นบางคนที่คิดว่าตัวเขาเป็นมุสลิมพยายามบิดเบือนภาพลักษณ์ศาสนา
พยายามเชื่อมโยงศาสนาอันยิ่งใหญ่นี้เข้ากับความรุนแรง” ซึ่งขัดแย้งกับหลักศาสนา
จะเห็นว่ามีการเอ่ยถึงลัทธิสุดโต่ง
มุสลิมที่บิดเบือนศาสนาและผู้ก่อการร้าย
รัฐบาลซาอุฯ อียิปต์
จอร์แดน บาห์เรน โอมาน คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์และเยเมนจะร่วมกันต่อต้านพวกสุดโต่งเหล่านี้
ผู้นำอิหร่านคือฮิตเลอร์ :
เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าในบรรดาศัตรูทั้ง 3 อิหร่านคือภัยร้ายแรงที่สุด
มกุฎราชกุมารซัลมานกล่าวโจมตีผู้นำอิหร่านอย่างรุนแรง
“ผมเชื่อว่าผู้นำสูงสุดอิหร่านทำให้ฮิตเลอร์ดูดี
ฮิตเลอร์ไม่ได้ทำอย่างที่ผู้นำสูงสุดอิหร่านกำลังทำ ฮิตเลอร์พยายามครอบครองยุโรป
แต่ผู้นำสูงสุดพยายามครอบครองโลก เป็นฮิตเลอร์ของตะวันออกกลาง ... ตนไม่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุโรปมาเกิดในตะวันออกกลาง”
การเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์อาจเป็นของใหม่จากซาอุฯ
แต่ไม่ใช่ของใหม่สำหรับอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวเมื่อปี 2015 เปรียบเทียบอิหร่านเหมือนพวกนาซี
(Nazis) เพื่อโยงว่าอิหร่านคิดทำลายล้างยิวเหมือนที่นาซีทำกับชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 อิหร่าน “ประกาศเป้าหมายว่าจะทำลายล้างรัฐยิว”
ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ผู้นำซาอุฯ กับผู้นำอิสราเอลพูดตรงกันว่าอิหร่านคือนาซี
ผู้นำอิหร่านคือฮิตเลอร์ การเปรียบเทียบเช่นนี้ไม่เพียงบ่งบอกความเป็นศัตรู
ยังเป็นการระบุว่าระบอบอิหร่านคือเป้าหมายที่ต้องทำลาย เป็นศัตรูร่วมของซาอุฯ กับอิสราเอล
ชวนให้คิดถึงกระแสข่าวการร่วมมือ
การเป็นพันธมิตรเพื่อจัดการอิหร่าน เหมือนจัดการนาซีในอดีต
อาหรับจับมือยิวต้านอิหร่าน :
ไม่ว่ามุสลิมอาหรับจะจับมือกับยิวจริงแท้เพียงไร
หนึ่งในความร่วมมือที่เป็นไปได้ (และอาจเป็นไปแล้ว) คือการร่วมมือเพื่อ “จัดการ”
อิหร่าน
กลางเดือนพฤศจิกายน
2017 พลโท Gadi Eisenkot แห่งกองทัพอิสราเอลกล่าวว่าพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศอาหรับสายกลาง
แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อต้านอิหร่าน พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์ มีโอกาสที่จะสร้างพันธมิตรนานาชาติในภูมิภาค
และยุทธศาสตร์ที่จะหยุดภัยคุกคามอิหร่าน”
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าหลายปีที่ผ่าน
รัฐบาลอิสราเอลกับรัฐบาลอาหรับมีความร่วมมือในทางลับหลายครั้ง
ผู้นำอาหรับลดท่าทีแข็งกร้าวต่ออิสราเอล การที่ผู้นำกองทัพอิสราเอลออกมาพูดเช่นนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้น
เพราะเป็นการพูดต่อสาธารณะว่าอิสราเอลพร้อมร่วมมือกับซาอุฯ เพื่อต้านอิหร่าน
สอดคล้องกับท่าทีของนายกฯ เนธันยาฮูที่เสนอแนวคิดผูกมิตรกับรัฐอาหรับ
โดยใช้ประเด็นอิหร่านเป็นตัวยึดโยง ดังนั้นที่แน่ชัดคือการแสดงท่าทีเป็นมิตรในช่วงนี้จะมีคำว่า
“อิหร่าน” เข้ามาเกี่ยวข้อง พูดให้ชัดคืออิสราเอลกับรัฐอาหรับจะร่วมมือกัน “จัดการอิหร่าน”
ถ้ายึดมุมมองจากวาทกรรมจันทร์เสี้ยวชีอะห์
(Shiite Crescent/ Shia Crescent) ซีเรียกับอิรักถูกจัดการแล้ว
เป้าหมายต่อไปคืออิหร่าน ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลทรัมป์ที่เริ่มต้นรัฐบาลก็ประกาศความเป็นปรปักษ์ต่ออิหร่านอย่างรุนแรง
หากสามารถทำลายอิหร่าน
(การทำลายไม่ได้หมายความว่าต้องยึดประเทศ
เพียงแค่ทำให้อ่อนแอหรือเปลี่ยนระบอบก็นับว่าได้จัดการแล้ว) ถือว่าจบสิ้นจันทร์เสี้ยวชีอะห์
หากมองย้อนหลังหลายสิบปีจนถึงเมื่อปีก่อนจะเป็นเรื่องตลกถ้าใครพูดว่ามุสลิมอาหรับเป็นมิตรกับยิว
เพราะที่ได้ยินได้ฟังคือเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกไม่ได้ ยิ่งหากผูกเรื่องนี้กับศาสนาจะยิ่งเห็นความไม่ลงรอย
ความบาดหมางที่ย้อนหลังนับพันๆ ปี แต่บัดนี้ ผู้นำซาอุฯ
กำลังเปลี่ยนความบาดหมางให้เป็นความร่วมมือเพื่อจัดการศัตรูอีกฝ่าย เรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นถกเถียงได้อีกมาก
โฉมประวัติศาสตร์ภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เป็นภูมิภาคที่มีพลวัต
8 เมษายน 2018
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก”
ไทยโพสต์ ปีที่ 22 ฉบับที่ 7820 วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ.2561)
------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ในที่ประชุม “Arab Islamic American
Summit” ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีเป็นมิตรกับรัฐบาลซาอุฯ
ท่ามกลางผู้นำชาติอาหรับ ผู้นำมุสลิมประเทศอื่นๆ รวม 55 ประเทศ
วัตถุประสงค์หลักคือร่วมต่อต้านก่อการร้ายซึ่งหมายถึงมุสลิมสุดโต่งกับอิหร่าน
เป็นอีกครั้งที่ทรัมป์พูดถึงความดีความชั่ว ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือดำเนินนโยบาย ยอมรับว่าแนวทางศาสนาของซาอุฯ
เข้าได้กับนโยบายของตน
บรรณานุกรม :
1. Fraser, T. G. (2004). The Arab-Israeli Conflict
(2nd Ed.). New York: Palgrave Macmillan.
2. ‘Iran at forefront of global terrorism,’ says King
Salman. (2017, May 21). Al Arabiya. Retrieved from
http://english.alarabiya.net/en/News/gulf/2017/05/21/-Iran-at-forefront-of-global-terrorism-says-King-Salman.html
3. Israel ready to work with Saudis against Iran, army chief
says. (2017, November 17). France 24. Retrieved
from http://www.france24.com/en/20171116-israel-cooperate-saudi-arabia-against-iran-intelligence-army-chief-eisenkot
4. Israel Has Right to Land, Iran's Khamenei Makes Hitler
Look Good – Saudi Prince. (2018, April 3). Sputnik News. Retrieved from https://sputniknews.com/middleeast/201804031063156343-israel-iran-saudi-prince-interview/
5. Israeli Prime Minister Benjamin Netanyahu compares Iran
to the Nazis. (2015, April 16). The Independent. Retrieved from
http://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/israeli-prime-minister-benjamin-netanyahu-compares-iran-to-the-nazis-10183349.html
6. King Salman: Iran spearheading global terror. (2017, May 22). Arab News. Retrieved
from http://www.arabnews.com/node/1103121/saudi-arabia
7. Saudi Crown Prince recognizes
Israel's right to exist. (2018, April 3).
FRANCE 24. Retrieved from http://www.france24.com/en/20180403-saudi-arabia-israel-crown-prince-right-homeland-exist
FRANCE 24. Retrieved from http://www.france24.com/en/20180403-saudi-arabia-israel-crown-prince-right-homeland-exist
8. Saudi Crown Prince: Iran's Supreme Leader 'Makes Hitler
Look Good'. (2018, April 2). The Atlantic. Retrieved from https://www.theatlantic.com/international/archive/2018/04/mohammed-bin-salman-iran-israel/557036/
9. Saudi Prince’s White House Visit Reinforces Trump’s
Commitment to Heir Apparent. (2018, March 20). The New York Times.
Retrieved from https://www.nytimes.com/2018/03/20/us/politics/saudi-crown-prince-arrives-at-white-house-to-meet-with-trump.html
10. Ulrichsen, Kristian Coates. (2015). Insecure Gulf:
The End of Certainty and the Transition to the Post-oil Era. New York:
Oxford University Press.
-----------------------------