สัมพันธ์สหรัฐกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมั่นคงดังเดิม ต่างจากที่ทรัมป์หาเสียง

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จิม แมททิส (Jim Mattis) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลทรัมป์ เดินทางเยือนเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ก่อนออกเดินทางรัฐมนตรีแมททิสเผยว่ารัฐบาลให้ความสำคัญประเด็นเกาหลีเหนือ การเป็นพันธมิตรกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
            ดูเหมือนว่ารัฐมนตรีแมททิสให้ความสำคัญกับการรักษาพันธมิตร เดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่าขู่ว่าจะละทิ้งพันธมิตรดังที่ทรัมป์พูดในช่วงหาเสียง
ในช่วงหาเสียง โดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มีอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง หากตนชนะเลือกตั้งจะพิจารณาถอนทหารอเมริกันที่ประจำการในญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ สหรัฐ “ไม่สามารถเป็นตำรวจโลก” นับวันศักยภาพการเป็นตำรวจโลกมีแต่จะเสื่อมถอย แต่ถ้ารัฐบาล 2 ประเทศนี้เพิ่มงบประมาณสนับสนุนกองทัพสหรัฐที่ประจำการใน 2 ประเทศดังกล่าว จะยอมคงทหารประจำการต่อไป
ปัจจุบันทหารอเมริกันราว 50,000 นายประจำการตามฐานทัพสหรัฐหลายแห่งในญี่ปุ่น 28,500 นายในเกาหลีใต้ ไม่นับเรือรบ เครื่องบินรบ ระบบอาวุธทันสมัยมากมาย บางคนเชื่อว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ด้วย ล่าสุดส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ B-1 ไปประจำการเกาหลีใต้ และอยู่ระหว่างหารือติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD ที่ทั้งจีนกับรัสเซียคัดค้านอย่างรุนแรง

ความสัมพันธ์ทวิภาคีคืบหน้าอีกขั้น :
ในการเยือนเกาหลีใต้ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวต่อรักษาการนายกฯ เกาหลีใต้ Hwang Kyo-ahn ว่ารัฐบาลทรัมป์มีพันธะต่อความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับเกาหลีใต้ รัฐบาลทรัมป์ตั้งใจยกระดับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกเพื่อรับมือการยั่วยุจากเกาหลีเหนือ เป็นภัยคุกคามร่วมที่ 2 ประเทศเผชิญ
เดินหน้าหารือติดตั้ง THAAD และสานสัมพันธ์ความร่วมมือไตรภาคีสหรัฐ-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น
ความเป็นนายกฯ รักษาการอาจเป็นเหตุว่ารักษาการนายกฯ เกาหลีใต้ Hwang Kyo-ahn ไม่ค่อยแสดงบทบาทนัก อย่างไรก็ตามการเดินหน้าหารือติดตั้ง THAAD ชัดเจนในตัวเองว่าแผนความมั่นคงร่วมทวิภาคีเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ เกาหลีใต้หรือใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

            ในการเยือนญี่ปุ่น รัฐมนตรีแมททิสนอกจากยืนยันความเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ขอบคุณญี่ปุ่นที่มีส่วนร่วมในการรักษาความมั่นคงภูมิภาคและโลก ร่วมต้านภัยคุกคาม ยืนยันว่าสนธิสัญญาความมั่นคงกับญี่ปุ่นผูกพันหมู่เกาะเซนกากุ (Senkaku Islands) อันเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นต้องการ
ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว แอชตัน คาร์เตอร์ (Ashton Carter) รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวว่าประธานาธิบดี บารัก โอบามา พูดชัดว่า “หมู่เกาะเซนกากุอยู่ภายใต้การบริหารของญี่ปุ่น ดังนั้นจึงอยู่ภายใต้มาตรา 5 ของ สนธิสัญญาความมั่นคงร่วมสหรัฐ –ญี่ปุ่น” (U.S.-Japan Treaty of Mutual Cooperation and Security)
            รัฐบาลโอบามาเป็นรัฐบาลแรกที่พูดชัดว่าหมู่เกาะเซนกากุอยู่ภายใต้มาตรา 5 ดังกล่าว เรื่องหมู่เกาะเซนกากุ/เตียวหยูเป็นอีกประเด็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์สานต่อจากรัฐบาลโอบามา
            รวมความแล้ว รัฐบาลทรัมป์สานต่อโครงการความมั่นคงสำคัญ ทั้งการติดตั้ง THAAD ปกป้องหมู่เกาะเซนกากุ/เตียวหยู เป็นนโยบายต่างประเทศเรื่องต้นๆ อีกเรื่องที่รัฐบาลทรัมป์เดินตามรอยรัฐบาลก่อน
ในการเยือน 2 ประเทศ รัฐมนตรีแมธทิสพูดกับรักษาการนายกฯ เกาหลีใต้กับนายกฯ อาเบะด้วยคำเดียวกันว่า “ยืนยัน (ความเป็นพันธมิตร) ร้อยเปอร์เซ็นต์”

ส่วนเรื่องปัญหาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายนั้น รัฐมนตรีแมสทิสขอให้ญี่ปุ่นช่วยแบกรับภาระงบประมาณมากขึ้น ความตอนหนึ่งกล่าวว่า “ในยามที่ความเป็นพันธมิตรเข้มแข็งขึ้น เป็นเรื่องสำคัญที่ทั้ง 2 ประเทศลงทุนในเจ้าหน้าที่และขีดความสามารถด้านการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหุ้นส่วนในวันนี้และอีกหลายปีในอนาคต” ไม่แน่ชัดว่ารัฐมนตรีแมททิสมาพร้อมคำขู่หรือไม่ จากข่าวที่ปรากฏดูเหมือนว่าความเป็นพันธมิตรสำคัญกว่า
            ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าภาระที่รับอยู่ปัจจุบันเหมาะสมแล้ว

ผลการเจรจาสุดยอดผู้นำทรัมป์-อาเบะ :
            ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐ-ญี่ปุ่น ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐ "ยึดมั่นพันธะความมั่นคงของญี่ปุ่นและอาณาบริเวณทั้งหมดที่อยู่ใต้การบริหารควบคุม (ของญี่ปุ่น) ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มขยายความเป็นพันธมิตร" ขอบคุณชาวญี่ปุ่นที่ยอมให้สหรัฐใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ ความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐ-ญี่ปุ่น "เป็นเสาหลักสันติภาพและความมั่นคง" ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
            แถลงการณ์ร่วมหลังประชุมสุดยอดผู้นำยังระบุว่าญี่ปุ่นจะขยายบทบาทความมั่นคง สหรัฐกับญี่ปุ่นจะร่วมต่อต้านสิ่งปลูกสร้างทางทหารในทะเลจีนใต้ กดดันเกาหลีเหนือให้เลิกล้มโครงการนิวเคลียร์ ขีปนาวุธพิสัยไกล เดินหน้าหารือวางกฎการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บนฐานการค้าเสรีและเป็นธรรม

            ส่วนเรื่องที่ทรัมป์พูดในช่วงหาเสียงว่าจะถอนความพันธมิตร ให้ญี่ปุ่นมีอาวุธนิวเคลียร์ หากญี่ปุ่นไม่เพิ่มงบประมาณสนับสนุนกองทัพสหรัฐ ไม่ปรากฎในแถลงการณ์ร่วม และไม่ประเด็นสำคัญในการพบปะครั้งนี้มากกว่าการรักษาเพิ่มขยายความเป็นพันธมิตร
            ข้อสรุปคือ หลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ถึงเดือน เนื้อหาถ้อยคำของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีแตกต่างจากช่วงหาเสียงมากขึ้น หันมาพูดทำนองเดียวกับผู้นำสหรัฐคนก่อนๆ หลัก “America First” ของทรัมป์ในตอนนี้ดูเหมือนไม่ต่างจากยุทธศาสตร์แม่บทสหรัฐในประเด็นเอเชียแปซิกฟิก

ยุทธศาสตร์ปรับสมดุลยังคงอยู่ :
ต้นเดือนธันวาคม 2016 หลังทรัมป์เป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง Valery Kistanov จาก Center for Japanese Studies ของ Russian Academy of Sciences กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐต้องการญี่ปุ่นเพื่อช่วยถ่วงดุลจีน ญี่ปุ่นเปรียบเสมือนเรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจม ทรัมป์พูดว่ายอมให้ญี่ปุ่นมีอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง แต่ความจริงแล้วสหรัฐจะไม่ยอมให้ญี่ปุ่นมีอาวุธทรงอานุภาพเช่นนั้น เพราะไม่ต้องการเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นกลายเป็นคู่แข่งด้านการทหารกับการเมือง
ผู้ที่เข้าใจความล้ำลึกของเรื่องนี้จะสรุปตั้งแต่ต้นว่าที่ทรัมป์พูดว่าจะให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มีอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองนั้นเป็นเพียงโวหารหาเสียงเท่านั้น

Yamagami Shingo จาก Japan Institute of International Affairs ชี้ว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีญี่ปุ่น-สหรัฐเข้มแข็งมาก ยากจะเปลี่ยนแปลงชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ รากฐานความสัมพันธ์จะไม่เปลี่ยนไม่ว่าใครดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ หรือใครเป็นนายกฯ ญี่ปุ่น
ความจริงคือต่างต้องการกันและกัน สหรัฐต้องการญี่ปุ่นเป็นหน้าด่านปิดล้อมจีน มีข้ออ้างเข้าพัวพันกับในภูมิภาค ส่วนญี่ปุ่นต้องการรื้อฟื้นให้ประเทศกลับมายิ่งใหญ่ในทุกมิติอีกครั้ง
            ถ้าพิจารณาตั้งแต่ช่วงหาเสียงจนบัดนี้ ทรัมป์พยายามจะเป็นมิตรกับรัสเซียมากขึ้น หันมาท้าทายจีนแทน นั่นหมายความรัฐบาลทรัมป์ต้องการพันธมิตร หุ้นส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากกว่าเดิม
            ไม่ว่าจะปรับปรุงอย่างไร เป้าหมายตามยุทธศาสตร์แม่บทยังคงอยู่ ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครท ยุทธศาสตร์แม่บทยังคงเดินหน้าต่อไป

การเมืองในประเทศกับการเมืองระหว่างประเทศ :
เรื่องราวที่เกิดขึ้นชี้ว่าความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐ-เกาหลีใต้ สหรัฐ-ญี่ปุ่นไม่อาจเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา ความสัมพันธ์นั้นมั่นคงไม่หวือหวาอย่างที่ทรัมป์พูดในช่วงหาเสียง เพราะความจริงมีผลประโยชน์ร่วมอื่นๆ ที่สำคัญกว่า แม้เป็นประธานาธิบดีก็ใช่ว่าทำได้ทุกอย่างตามต้องการ
            ถ้าตีกรอบเฉพาะเรื่องหาเสียง เรื่องนี้ให้ความเข้าใจตอกย้ำอีกครั้งว่า การหาเสียงคือพูดชักจูงคนไปลงคะแนน แต่ไม่จำต้องปฏิบัติตามนั้นเสมอไป โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันเห็นว่าไกลตัว ตอนนี้ผู้ชุมนุมสนใจประเด็นอื่นๆ มากกว่า เป็นจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตยตะวันตกอีกข้อ และกลายเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง นักวิชาการบางคนสรุปว่าที่ทำได้จริงอาจมีเพียงร้อยละ 70 หรือต่ำกว่า
            ดังที่เคยนำเสนอในบทความ “ความจริงที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของทรัมป์ (1)”  “การที่ทรัมป์เอ่ยเรื่องให้ญี่ปุ่น เกาหลีใต้มีอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง สหรัฐถอนกำลังกลับ ... เท่ากับลบล้างสนธิสัญญาป้องกันประเทศทวิภาคีที่มีต่อกัน ลบล้างความเป็นพันธมิตรที่ดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2”
 “สมมุติว่าทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี ขอเพียงรัฐบาล 2 ประเทศนี้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยละ เช่น 3-5 เปอร์เซ็นต์ เพียงเท่านี้ทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม ทรัมป์สามารถพูดว่าได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงแล้ว”
เนื้อหาสาระนโยบายของทรัมป์ต่อญี่ปุ่น เกาหลีใต้มีเพียงเท่านี้เอง ที่เหลือทั้งหมดมากมายคือวาทกรรม เป็นกลเม็ดหาเสียงของทรัมป์ที่พยายามสร้างความแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ให้ผู้ฟังเห็นว่าแตกต่าง ทั้งที่โดยความจริงแล้วไม่มีสาระสำคัญประการใด

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของทรัมป์ ปลายเดือนมีนาคม 2016 นายโยชิฮิเดะ ซูกะ (Yoshihide Suga) หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลอาเบะคงนโยบายเช่นเดิม คือ ไม่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ “ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดี ความเป็นพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐ คือเสาหลักของนโยบายต่างประเทศญี่ปุ่น” “เราจะร่วมงานกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อความมั่งคั่งและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและของโลก”
ไม่ถึงเดือนหลังทรัมป์รับตำแหน่ง ได้ข้อสรุปแล้วว่าถ้อยคำของหัวหน้าเลขาธิการซูกะ คือถ้อยคำของผู้มีความเข้าใจมากที่สุด นั่นคือทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอย่างที่เข้าใจ
12 กุมภาพันธ์ 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7401 วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560)
---------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง 
ทรัมป์ชูนโยบายทบทวนความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตร เห็นว่าการคงทหารหลายหมื่นนายในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ไม่ก่อประโยชน์ต่อสหรัฐเท่าที่ควร ต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ไม่คุ้มค่า ไม่สนใจว่าหากถอนการเป็นพันธมิตรจะส่งผลต่อระบบความมั่นคงภูมิภาคและโลกอย่างไร ความจริงที่ต้องเข้าใจคือประเทศเหล่านี้ช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณมานานแล้ว และยังคงเจรจาต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
บรรณานุกรม:
1. Abe, Trump agree to discuss post-TPP bilateral trade framework. (2017, February 11). The Japan Times. Retrieved from http://www.japantimes.co.jp/news/2017/02/11/national/politics-diplomacy/abe-trump-agree-discuss-bilateral-trade-framework/#.WJ5zB1WLTZ4
2. Exclusive: Full text of Yomiuri Q&A with Secretary Carter. (2015, April 8). The Japan News. Retrieved http://the-japan-news.com/news/article/0002063898
3. Garamone, Jim. (2017, February 2). Mattis Describes Overseas Trip as Opportunity to Listen to Allies’ Concerns. DoD News. Retrieved from https://www.defense.gov/News/Article/Article/1068688/mattis-describes-overseas-trip-as-opportunity-to-listen-to-allies-concerns
4. Mattis assures policy continuity on N. Korea, full defense commitment to S. Korea. (2017, February 2). The Korea Herald. Retrieved from http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20170202000877
5. Mei, Ayako. (2017, February 4). Mattis clarifies U.S. defense pledge, stays mum on host-nation support. The Japan Times. Retrieved from http://www.japantimes.co.jp/news/2017/02/04/national/politics-diplomacy/mattis-clarifies-u-s-defense-pledge-stays-mum-host-nation-support/#.WJXbCtJ97IU
6. Ramzy, Austine. (2016, March 28). Comments by Donald Trump Draw Fears of an Arms Race in Asia. The New York Times. Retrieved from http://www.nytimes.com/2016/03/29/world/asia/donald-trump-arms-race.html?_r=0
7. Trump details ‘America first’ foreign policy views, threatening to withdraw troops from Japan, South Korea. (2016, March 27). The Japan Times. Retrieved from http://www.japantimes.co.jp/news/2016/03/27/world/politics-diplomacy-world/trump-details-america-first-foreign-policy-views-threatening-withdraw-troops-japan-south-korea/#.Vvh-wtJ97IV
8. UPDATE: Trump says U.S. committed to Japan security. (2017, February 11). The Asahi Shimbun/Reuters. Retrieved from http://www.asahi.com/ajw/articles/AJ201702110013.html
9. US Needs Japan as an 'Unsinkable Aircraft Carrier' to Counter China's Influence. (2016, December 6). Sputnik News. Retrieved from https://sputniknews.com/politics/201612061048224828-us-japan-countering-china/
10. U.S. DEPARTMENT OF DEFENSE. (2017, February 3). Readout of Secretary Mattis' Meetings with ROK Minister of Foreign Affairs Yun Byung-Se and Minister of National Defense Han Min-Koo. Retrieved from https://www.defense.gov/News/News-Releases/News-Release-View/Article/1070027/readout-of-secretary-mattis-meetings-with-rok-minister-of-foreign-affairs-yun-b
11. U.S. DEPARTMENT OF DEFENSE. (2017, February 3). Strength of Alliance Highlights Meeting Between Mattis, Japan’s Prime Minister. Retrieved from https://www.defense.gov/News/Article/Article/1070346/strength-of-alliance-highlights-meeting-between-mattis-japans-prime-minister
12. Yoshida, Reija. (2017, February 3). Abe, Mattis reaffirm ties on defense. The Japan Times. Retrieved from http://www.japantimes.co.jp/news/2017/02/03/national/politics-diplomacy/shinzo-abe-james-mattis-u-s-japan-bilateral-ties-defense/#.WJXrStJ97IU
-----------------------------