สาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ในอดีตกาล (1)

หลายคนเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร นักวิชาการปัจจุบันยังค้นหาคำตอบว่าทำไมจักรวรรดิโรมันจึงล่มสลาย แต่ก่อนที่จะเป็นจักรวรรดิ ประวัติศาสตร์ของโรมันเคยผ่านการเป็นสาธารณรัฐมาก่อน มีเรื่องราวที่น่าใจดังนี้
            นักโบราณคดีบางคนเห็นว่ากลุ่มคนที่น่าจะเรียกว่าต้นตระกูลชาวโรมันเกิดขึ้นเมื่อสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล (หรือหลังจากนั้น เช่น ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล) คนเหล่านี้พูดภาษาละติน ตั้งอยู่บนพื้นที่ Latium ในคาบสมุทรอิตาลี (ติดทางใต้ของกรุงโรมปัจจุบัน) ประวัติศาสตร์ยุคต้นจึงเป็นเรื่องความอยู่รอดในพื้นที่ Latium ก่อนขยายตัวครอบคลุมทั้งคาบสมุทร
            เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาลชุมชนโรมเริ่มเป็นเมือง เป็นนครรัฐตามอย่างนครรัฐกรีก มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง แต่ตำแหน่งนี้ไม่มีการสืบทอดทางสายเลือด บางครั้งผู้ดำรงตำแหน่งเป็นชาวต่างชาติ กษัตริย์จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากขุนนางที่เป็นคนท้องถิ่น สมาชิกสภาสูง (senate) ที่บางช่วงมีถึง 300 คน
ต่อมาขุนนางปลดกษัตริย์และใช้ระบอบปกครองแบบสาธารณรัฐ เรียกว่าสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) เริ่มต้นเมื่อก.ค.ศ. 509
ระบอบปกครองสาธารณรัฐโรมัน :
ภายใต้ระบอบสาธารณรัฐโรมัน ผู้มีอำนาจสูงสุดดำรงตำแหน่ง “กงสุล” (consuls) มีจำนวน 2 คน ได้รับเลือกปีต่อปีจากสมาชิกสภาสูง
สมาชิกสภาสูง (senate) ประกอบด้วยผู้อาวุโสที่ได้รับคัดเลือกจากกลุ่มตระกูลต่างๆ จำนวน 300 คน เป็นตำแหน่งตลอดชีพ ยามปกติจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง (magistrate) ไม่มีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย
การปกครองแบบสาธารณรัฐโรมันจึงหมายถึงการปกครองโดยเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ที่ดินนั้นยุคนั้นคือแหล่งแห่งความมั่งคั่งและอำนาจ การบริหารประเทศเน้นผลประโยชน์ของคนรวย แต่ไม่ถึงกับทอดทิ้งคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคม เป็นระบอบคณาธิปไตย

นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง เช่น หากเกิดสงคราม “กงสุล จะลงจากตำแหน่ง พร้อมกับแต่งตั้ง “dictator” เป็นผู้ปกครองมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่มีวาระเพียง 6 เดือน จะเห็นได้ว่าระบอบการปกครองถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นตามบริบท ตอบสนองสถานการณ์ต่างๆ

พลเมือง 2 ชนชั้น :
            ชนชั้นแรกคือพวก “patrician” เป็นชนชั้นอำนาจ
การเกิดขึ้นของชนชั้นอำนาจอาจอธิบายได้ว่า ครอบครัวเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสังคมโรมัน บิดาคือผู้มีอำนาจสูงสุด สามารถขายบุตรเป็นทาส หรือสังหารได้ตามต้องการ การแต่งงานของบุตรสาวขึ้นกับการตัดสินใจของบิดา และมักแต่งงานตั้งแต่วัยเริ่มสาว
เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเริ่มต้นที่ 1 ครอบครัวนำสู่หลายครอบครัวที่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิด เกิดความสัมพันธ์เชิงวงศ์ตระกูล เกิดผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสประจำตระกูล
เกิดตระกูลที่ใหญ่กว่า ร่ำรวยกว่า เป็นที่พึ่งได้มากกว่า เป็นผู้มีอิทธพลบารมี

หลักฐานประวัติศาสตร์จึงระบุว่าพวก “patrician” คือตระกูลของสมาชิกสภาสูงยุคแรกๆ ในสมัยที่ยังปกครองด้วยกษัตริย์ ยังเป็นนครรัฐ พูดง่ายๆ คือตระกูลผู้มีอิทธิพลบารมีตั้งแต่การสร้างเมืองยุคแรก
รากฐานอำนาจของพวกเขามาจากการมีที่ดินจำนวนมาก ต้นเหตุแห่งความมั่งคั่ง เนื่องจากอิตาลีมีพื้นที่เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์จำกัด ความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินมอบปัจจัยสี่แก่การยังชีพ เป็นสินค้าสำคัญของยุคนั้น ทั้งค้าขายในเมืองและต่างเมือง ผู้มีที่ดินซึ่งหมายถึงพื้นที่เกษตร ป่าไม้และปศุสัตว์จึงมั่งคั่ง มีอิทธิพลบารมี เป็นที่พึ่งของคนขัดสน เกษตรกรรายย่อยเมื่อยามการเพาะปลูกไม่ได้ผลดี เกิดความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ เมื่อระบบการเมืองการปกครองพัฒนาซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ คนกลุ่มนี้จึงเป็นแกนหลักแห่งอำนาจปกครอง

มีกฎชัดเจนว่าเฉพาะพวก “patrician เท่านั้นที่สามารถดำรงตำแหน่งกงสุล ฝ่ายปกครอง และสมาชิกสภาสูง
            รวมความแล้ว พวก “patrician คือชนชั้นปกครองดั้งเดิมนั่นเอง เพียงแต่แย่งอำนาจจากกษัตริย์ วางระบอบการปกครองใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาคือกลุ่มที่กุมอำนาจ และคัดสรรคนของตนเองเป็นผู้นำปกครองประเทศ

            เสรีชนนอกกลุ่มpatrician” เรียกว่าพวก “plebeiansเป็นสามัญชน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย มีที่ดินทำกินแต่น้อย มักมีฐานะธรรมดาหรือยากจน บางคนประกอบอาชีพอิสระ ช่างฝีมือ พ่อค้า
            พวก “plebeians” มีสิทธิ์ออกเสียง แต่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงอำนาจปกครอง เฉพาะพวก “patrician” เท่านั้นที่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับตำแหน่งข้าราชการ

            นอกจากกฎห้ามเข้าถึงอำนาจปกครอง สังคมโรมันยังมีวัฒนธรรมให้แต่งงานภายในชนชั้นเดียวกัน การแต่งงานระหว่าง 2 ชนชั้นเป็นเรื่องต้องห้าม
            การแต่งงานภายในชนชั้นเดียวกัน นอกจากจะเป็นการควบคุมอำนาจให้อยู่ในกลุ่ม ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในกลุ่มชนชั้นอำนาจด้วยกัน นานวันเข้าพวกเขามีความสัมพันธ์ทางเครือญาติมากขึ้นทุกที เป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมให้สภาสูงมีอำนาจ เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมอันทรงพลังที่ควบคุมให้อำนาจจำกัดอยู่ในคนไม่กี่ตระกูลเท่านั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีก็ตาม

            อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป พวก “plebeians” บางคนสามารถพัฒนาตนเองกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ เป็นคนมั่งคั่งมีอิทธิพลบารมี จึงเรียกร้องสิทธิ์ที่จะกลายเป็นพวก “patrician” เรื่องลงเอยว่าเกิดกลุ่มใหม่ที่เรียกว่าพวก nobiles” เป็นการรวมพวก plebeiansที่มั่งคั่งขึ้นมากับพวก “patrician
ดังนั้น พวก nobiles คือพัฒนาการเพื่อรับคนรวยรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในกลุ่มชนชั้นอำนาจนั่นเอง เพียงแต่จัดกลุ่มใหม่ ตั้งชื่อใหม่ เพื่อไม่ถูกจำกัดด้วยหลักเกณฑ์เดิม โดยคงหลักการว่าคนมั่งคั่ง ครอบครองที่ดินจำนวนมากเท่านั้นที่เข้าถึงอำนาจ

ทาส :
            นอกจาก 2 ชนชั้นข้างต้น สาธารณรัฐโรมันยังประกอบด้วยพวกทาสจำนวนมาก
            ในยุคสมัยนั้น ทุกอาณาจักรล้วนมีทาสด้วยกันทั้งสิ้น แต่พวกโรมันมีทาสมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะระบบสังคมที่มุ่งใช้แรงงานทาสเป็นหลัก มีข้อมูลว่าเกษตรกรรายย่อย1 คนจะมีทาสรับใช้ 1-2 คนเพื่อช่วยงานในทุ่งนาและงานบ้าน
            ไม่เฉพาะงานเกษตรเท่านั้นที่ใช้แรงงานทาส งานอื่นๆ ก็ใช้เช่นกัน งานก่อสร้างใช้แรงงานทาสเป็นหลัก ไม่ว่าจะสร้างถนนหรืออาคาร
เรื่องนี้อธิบายได้ว่าเนื่องจากไม่จำต้องดูแลทาสดีเท่าแรงงานทั่วไป การใช้แรงงานทาสจึงเป็นวิธีลดต้นทุนการผลิต เป็นช่องทางให้เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่สามารถเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์อย่างเต็มที่ ต้นทุนการผลิตของเจ้าของที่รายใหญ่จึงต่ำกว่าชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรรายย่อย เป็นต้นเหตุหนึ่งของการทำสงครามเพื่อบังคับคนต่างเมืองเป็นทาส
นอกจากนี้ บางคนเห็นว่าจำนวนทาสเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะของตัวเอง คนเหล่านี้จึงชอบที่จะมีทาสจำนวนมาก
            ในยุคแรกนั้นทาสเหล่านี้เป็นคนในคาบสมุทรอิตาลี (คนต่างเมือง) สามารถซื้อขายในตลาดไม่ต่างจากสินค้าทั่วไป และเมื่อสาธารณรัฐโรมันมีชัยเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จำนวนทาสเพิ่มขึ้นทวีคูณ คราวนี้เป็นทาสชาวต่างชาติ ส่วนหนึ่งได้จากสงครามโดยตรง

การขยายอาณาเขตและการแย่งชิงอำนาจ :
เมื่อสาธารณรัฐสามารถยึดคาบสมุทรอิตาลี จากนั้นเริ่มขยายอาณาเขตไปทั่วทั้งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต้องเผชิญหน้าปรปักษ์สำคัญคืออาณาจักรคาร์เธจ (Carthage)
ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรคาร์เธจมีพลังอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง อาณาเขตประกอบด้วยชายฝั่งแอฟริกาเหนือ บางส่วนของสเปน  เกาะ Sardinia (ทางตะวันตกของอิตาลี) เกาะ Corsica (ติดกับ Sardinia) พื้นที่ตะวันตกของ Sicily อาณาจักรคาร์เธจมั่งคั่งเพราะเป็นผู้ควบคุมการเดินเรือแถบนี้
หลังผ่านสงครามครั้งใหญ่หลายครั้ง ในที่สุดสาธารณโรมันเข้ายึดอาณาจักรคาร์เธจ

            จากนั้นก่อนสิ้นศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช เกิดการชิงอำนาจระหว่างชนชั้นปกครอง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่าพวก “optimates” ดำเนินตามแนวทางของพวก “nobiles” ต้องการรักษาระบอบคณาธิปไตย ในขณะที่ชนชั้นปกครองอีกกลุ่มที่เรียกว่า “populares” พยายามแสวงหาแรงสนับสนุนจากคนชั้นล่าง เกิดการแข่งขันระหว่าง 2 กลุ่ม คล้ายกับ 2 พรรคการเมือง

            ในขณะที่ชนชั้นปกครองร่ำรวยขึ้นจากสงคราม ปรากฏว่าสามัญชนกลับยากจนลง เหตุเพราะพลเมืองมีหน้าที่ต้องเป็นทหารยามมีศึกสงคราม สงครามกับคาร์เธจทำให้ที่ดินหลายส่วนเสียหาย รัฐยืดเวลาการทหารเกณฑ์เป็น 6 ปี หลายคนที่กลับจากการรบพบว่าไร่นาตนเสียหายมากจึงเลือกที่จะขายที่ดิน ผลประโยชน์ตกแก่พวกเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่ซื้อที่ดินเหล่านั้น
และเนื่องจากกฎหมายบัญญัติว่าผู้เป็นทหารจะต้องเป็นพลเมืองโรมันที่มีทรัพย์สิน มีส่วนในผลประโยชน์ทรัพย์สินเท่านั้น ชายโรมันที่มีคุณสมบัติเป็นทหารได้จึงค่อยๆ ลดน้อยลง คนเหล่านี้อยู่ในสภาพไร้ที่ทำกิน ไม่สามารถเป็นทหาร บางคนพยายามรับจ้างงานเกษตรที่ทำได้ แต่อีกหลายคนเข้าไปอาศัยรวมกันในกรุงโรม และกลายเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหาแก่สังคม

Tiberius Gracchus (163-133 B.C.) เป็นหนึ่งในกลุ่ม “nobiles” เห็นปัญหาดังกล่าวจึงร่วมกับสมาชิกสภาสูงจำนวนหนึ่งเสนอแก้ปัญหา แนวทางของ Gracchus คือปฏิรูปที่ดิน ด้วยการยึดที่ดินรัฐที่อยู่ในมือเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ นำมาแจกจ่ายแก่คนไร้ที่ทำดินกิน สมาชิกสภาสูงหลายคนที่เสียประโยชน์โดยตรงจึงจ้างนักฆ่าสังหาร Gracchus
Tiberius Gaius (153-121 B.C.) น้องชาย Tiberius Gracchus สานฝันการปฏิรูปที่ดินต่อจากพี่ชาย และถูกสังหารเช่นกัน
แม้การปฏิรูปที่ดินไม่ประสบความสำเร็จ แต่แนวทางของพี่น้อง Tiberius กลายเป็นแรงบันดาลใจ เป็นต้นเหตุให้ประชาชนผู้ยากไร้พร้อมจะลุกฮือ
18 กันยายน 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 7255 วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ.
2559)
-----------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
จากชุมชนสู่นครรัฐและกลายเป็นสาธารณรัฐโรมัน ชนชั้นปกครองซึ่งคืออดีตขุนนางและเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่สามารถกุมอำนาจปกครองอย่างเหนียวแน่น ทั้งด้านบริหาร การยุติธรรม เศรษฐกิจ การทหาร การทำสงครามขยายอาณาเขตหมายถึงการได้ทรัพย์สิน ที่ดินและทาส ผลประโยชน์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของชนชั้นปกครองไม่กี่ตระกูล แต่ด้วยการขยายอาณาจักรอย่างไม่สิ้นสุดส่งผลให้กองทัพใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และควบคุมยากขึ้น ท้ายที่สุดกลายเป็นผู้ล้มล้างระบบสาธารณรัฐโรมัน 
บรรณานุกรม:
1. Drummond, A., Walbank, F. W., Astin, A. E., Frederiksen, M. W., & Ogilvie, R. M. (Eds.). (1989).The Cambridge Ancient History Volume 7, Part 2: The Rise of Rome to 220 BC (2nd Ed.). UK: Cambridge University Press.
2. Perry, Marvin., Jacob,  Margaret., Jacob, James., Chase, Myrna., & Von Laue, Theodore. (2009). Western Civilization: Ideas, Politics, and Society (9th Ed.). Boston: Houghton Mifflin Harcourt Publishing.
3. Roberts, J. M. (2002). The New History of the World (4th Ed.). UK: Penguin Press/Allen Lane.
4. Spielvogel, Jackson J. (2009).Western Civilization (7th Ed.). USA: Thomson Wadsworth.
-----------------------------