‘ล้มซัดดัม’ วาทะอันแหลมคมของโทนี แบลร์

นายโทนี แบลร์ (Tony Blair) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษให้สัมภาษณ์ว่า “ข้าพเจ้าสามารถเอ่ยคำขอโทษต่อความผิดพลาดเรื่องข้อมูลข่าวกรองที่ได้รับ” เพราะอิรักไม่มีโครงการพัฒนาอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction: WMD) ดังที่เราคิด แม้ว่ารัฐบาลซัดดัมจะใช้อาวุธเคมีกับประชาชนตนเองและคนอื่น
            ขอโทษต่อ “ความผิดพลาดบางอย่างอันเนื่องจากการวางแผน ... ความเข้าใจต่อผลที่จะตามมาหลังล้มระบอบ” ยอมรับว่าการโค่นล้มรัฐบาลซัดดัมในปี 2003 ทำให้อิรักปั่นป่วนโกลาหล เกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายศาสนาหลายปี และทำให้เกิดอัลกออิดะห์ในอิรัก ต้นกำเนิด ISIS ชาวอิรักหลายหมื่น ทหารอเมริกันกว่า 4,000 นายและทหารอังกฤษ 179 นายเสียชีวิตจากการบุกอิรักครั้งนั้น
            อย่างไรก็ตาม อดีตนายกฯ แบลร์เห็นว่าการตัดสินใจโค่นรัฐบาลซัดดัมนั้นถูกต้องแล้ว “ข้าพเจ้าไม่ขอโทษเรื่องการโค่นล้มซัดดัม แม้จนวันนี้คือปี 2015 ข้าพเจ้าคิดว่าดีที่เขาไม่อยู่อีกแล้ว” เพราะกดขี่ประชาชนตนเองอย่างหนัก เปิดฉากทำสงครามกับอิหร่าน คูเวต และใช้อาวุธเคมีกับชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของประเทศ
            ส่วนเรื่องการเติบใหญ่ของ ISIS ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบุกอิรัก แต่ยังมีปัจจัยเกื้อหนุนอื่นๆ เช่น อาหรับสปริง อีกทั้ง ISIS มีต้นกำเนิดจากซีเรียไม่ใช่อิรัก
โดยรวมแล้ว เมื่อพูดถึงการแทรกแซงของต่างชาติ อดีตนายกฯ แบลร์เห็นว่าจนบัดนี้ชาติตะวันตกยังไม่มีข้อสรุปว่าควรทำอย่างไร ที่อิรักได้คงกำลังทหารหลังแทรกแซง ที่ลิเบียแทรกแซงโดยไม่ส่งทหารเข้ารบทางภาคพื้นดิน ส่วนที่ซีเรียเรียกร้องให้รัฐบาลก้าวลงจากอำนาจ “โดยที่ยังไม่แทรกแซงไม่แต่น้อย”
บุกอิรักโหมไฟก่อการร้าย :
อดีตนายกฯ แบลร์ยอมรับว่าการโค่นล้มระบอบซัดดัมเอื้อให้ก่อการร้ายเติบโต ยอมรับว่ามี “ส่วนผิด” ในเรื่องนี้
ถ้าฟังดูเผินๆ ดูเหมือนว่าอดีตนายกฯ แบลร์เป็นสุภาพชน เป็นนายกฯ ที่รับผิดชอบ แต่ความจริงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ก่อการร้ายเติบใหญ่ เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ความขัดแย้งดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน เช่น มุสลิมบางคนบางกลุ่มต่อต้านชาติตะวันตกอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะบุกอิรักหรือไม่ ผู้ก่อการร้าย กองกำลังติดสุดโต่งมีอยู่เสมอ อัลกออิดะห์เกิดก่อนการบุกโค่นล้มรัฐบาลซัดดัม IS/ISIL/ISIS เป็นเพียงปรากฎการณ์หนึ่งเท่านั้น หากไม่มี IS ยังมีอีกหลายกลุ่มหลายชื่อที่จ่อคิวอยู่
ที่สุดแล้วหากจะกล่าวโทษอดีตนายกฯ แบลร์ด้วยเรื่อง IS จะเป็นเพียงความผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

โค่นล้มรัฐบาลต่างชาติเป็นเรื่องชอบธรรม :
            มากกว่าการ “ขอโทษ” หรือ “ไม่ขอโทษ” อดีตนายกฯ แบลร์พยายามชี้ว่าการโค่นล้มรัฐบาลอย่างซัดดัมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้ายึดดังกล่าวดังกล่าว นับจากนี้ข่าวกรองจะถูกหรือผิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะอย่างไรเสียก็ต้องล้มระบอบซัดดัมอยู่ดี ข่าวกรองในมุมมองของอดีตนายกฯ แบลร์มีค่าเป็นเพียง “เหตุผล” หรือ “ข้ออ้าง” เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชนเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนยอมรับ ลดแรงเสียดทานในระยะนั้น

            ถ้าอธิบายในอีกมุมหนึ่ง การอ้างว่าสามารถโค่นล้มรัฐบาลซัดดัมแม้ข่าวกรองผิดจะส่งผลรุนแรงหลักคิดความมั่นคง
            ย้อนหลังก่อนที่รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุชจะส่งกองทัพบุกอิรัก ได้วางหลักนโยบาย แนวคิดการชิงลงมือก่อน (preemption) ว่าสหรัฐมีสิทธิที่จะป้องกันตนเอง ในกรณีที่เผชิญภัยคุกคามที่จวนจะถึงตัวแล้ว (imminent threat) ไม่จำต้องรอให้ถูกโจมตีก่อนจึงโต้กลับ โดยเฉพาะหากผู้ก่อการร้ายคิดจะโจมตีด้วยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับหลักนิยมโจมตีชาวบ้านก่อน บางคนเกรงว่าจะยิ่งเป็นเหตุให้ประเทศตกเป็นเป้าก่อการร้าย พันธมิตรหลายประเทศไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ไม่อาจต้านการตัดสินใจของประธานาธิบดีบุช การต่อต้านรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาลบุชไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามี WMD ในอิรัก ขัดแย้งกับหลักนิยมต้องชิงโจมตีก่อนเนื่องจาก “ภัยคุกคามนั้นมีอยู่จริง”
การดำรงอยู่ของรัฐบาลซัดดัมไม่เข้าข่ายเป็นภัยคุกคามที่จวนจะถึงตัว

            ในที่สุดรัฐบาลบุชโทษว่าเป็นความผิดพลาดของฝ่ายข่าวกรอง เท่ากับยอมรับว่าหลักนิยมนี้มีจุดอ่อนในตัวเอง ทั้งยังเกิดคำถามตามมาว่านอกจากอิรักแล้ว อิหร่านกับเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามจวนตัวด้วยหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลบุชประกาศว่าทั้ง 3 ประเทศอยู่ในกลุ่ม “แกนแห่งความชั่วร้าย” (Axis of Evil)
            เกิดคำถามมากมายต่อนโยบายความมั่นของสหรัฐและรัฐบาลแบลร์ที่เดินตามรัฐบาลบุชอย่างใกล้ชิด

ความเชื่อแบบผิดๆ ของบุช :
รัฐบาลบุชประกาศอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายคือปลดปล่อยอิรักจากจอมเผด็จการ สถาปนาประเทศอิรักให้เป็นประชาธิปไตยเป็นแบบอย่างแก่ภูมิภาคตะวันออกกลาง เชื่อว่าหากทำให้มีการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่จะช่วยแก้ปัญหาความวุ่นวายทุกอย่างในอิรัก ได้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนูรี อัลมาลิกี (Nouri Al-Maliki) เมื่อปี 2007
            แต่รัฐบาลมาลิกีไม่ช่วยแก้ปัญหาอิรักตามที่คาดหวัง ขาดเจตจำนงที่จะปฏิบัติต่อพลเมืองทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม นักการเมืองหลายคนฉวยโอกาสคอร์รัปชันเพราะการเมืองอ่อนแอ ระบบตรวจสอบไร้ประสิทธิภาพ เล่นพรรคเล่นพวก ส่งเสริมผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
การเลือกตั้งเท่ากับเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของอำนาจนิยม แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ส่งเสริมผู้นำอำนาจท้องถิ่นนอกกฎหมาย กองกำลังติดอาวุธต่างๆ รวมทั้งผู้ก่อการร้าย

สาเหตุสำคัญอีกข้อคือ ต่างฝ่ายต่างไม่มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาผ่านระบบรัฐสภา ชาวเคิร์ดต้องการปกครองตนเอง พวกชีอะห์ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่มต่างแก่งแย่งชิงอำนาจ ส่วนพวกซุนนีเห็นว่าพวกรัฐบาลที่นำโดยนายกฯ ชีอะห์พยายามยึดอำนาจบริหารประเทศไว้กับตนเอง

รัฐบาลสหรัฐกับพันธมิตรอ้างว่าซัดดัม ฮุสเซนเป็นจอมเผด็จการ ทำร้ายประชาชน จึงต้องโค่นล้ม แต่รัฐบาลใหม่ที่เกิดจากการวางรากฐานของสหรัฐกลายเป็นเผด็จการอีกระบอบ เป็นเผด็จการรัฐสภา แบ่งแยกด้วยนิกายศาสนา
เป็นต้นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกทางสังคมอย่างร้าวลึก แบ่งแยกถึงระดับชุมชน ระดับปัจเจกบุคคล
เป็นต้นเหตุให้พลเมืองอิรักบางส่วนหันไปสนับสนุน IS

            ความเชื่อที่ว่าเมื่อโค่นล้มระบอบซัดดัมแล้วให้อิรักปกครองด้วยประชาธิปไตยจึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อิรักกลายเป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) เพราะคนในชาติแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า ไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เกิดปัญหาต่อเนื่องอีกหลายอย่าง
อิรักในขณะนี้เอื้อประโยชน์ต่อบางกลุ่ม เช่น ชาวเคิร์ด แต่ถ้ามองในระดับ “ประเทศ” ใครกล้าพูดอย่างเต็มคำว่าประเทศอิรักในปัจจุบันดีกว่าอิรักในสมัยซัดดัม ที่สำคัญคือประเทศปราศจากเอกภาพ อยู่ในภาวะขัดแย้งรุนแรง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความสงบสุขจะคืนสู่ประเทศ

รัฐบาลตะวันตกพยายามหาแนวทางที่เหมาะสม :
            อดีตนายกฯ แบลร์อ้างกรณีอิรัก ลิเบีย ซีเรียที่แตกต่างกัน พยายามชี้ว่าเป็นความพยายามทดลองหลายวิธีที่แตกต่างกัน จนบัดนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าควรแทรกแซงด้วยวิธีใด ควรส่งทหารเข้ารบภาคพื้นดินหรือไม่ ควรคงกองกำลังทหารไว้หรือไม่
            แม้ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออิรักกลายเป็นรัฐล้มเหลว ผู้คนล้มตายหลายหมื่นหลายแสน หลายล้านคนอพยพ ราวกับว่าอดีตนายกฯ แบลร์จะไม่รับรู้ปัญหาคลื่นผู้อพยพหลายแสนคนทั้งจากแอฟริกา ตะวันออกกลางที่กำลังหลั่งไหลเข้ายุโรป เป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ และอาจเป็นปัญหาใหญ่กว่านี้อีกในอนาคต ทั้งหมดนี้มาจากนโยบายแทรกแซงลิเบีย ซีเรียและอิรัก
รวมความแล้ว ท่านสรุปว่าหลักการแทรกแซงโค่นล้มรัฐบาลต่างชาติเป็นเรื่องถูกต้อง สมควรกระทำต่อไป

ถ้านับเฉพาะอาหรับสปริงส์ ไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลหลายประเทศถูกคว่ำ บางประเทศการเปลี่ยนผ่านดำเนินไปด้วยดี เช่น ตูนิเซีย บางประเทศต้องทำรัฐประหารซ้ำอย่างกรณีอียิปต์ ได้รัฐบาลทหารอีกรอบ เพียงแต่เป็นผู้นำคนใหม่ เปลี่ยนจากมูบารัคเป็นอัลซิซี ลิเบียยังเป็นรัฐล้มเหลว ไม่สามารถแม้กระทั่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส่วนซีเรียยังคงรบต่อไปและหนักหน่วงกว่าเดิมเมื่อรัสเซียไปตั้งฐานทัพในซีเรียและโจมตีฝ่ายต่อต้าน ผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ
ประเทศใดจะเป็นรายต่อไป

รัฐบาล ผู้นำประเทศมีสิทธิ์หลวกลวงประชาชนหรือไม่ :
            ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกสหรัฐว่าการทำสงครามกับอิรักเป็นความผิดพลาด ประธานาธิบดีบุชประเมินสถานการณ์ผิดพลาด สมรภูมิอิรักทำให้สหรัฐถลำลึก สูญเสียงบประมาณมหาศาล บทบาทของสหรัฐในสายตานานาชาติตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือนับตั้งแต่สหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจ
ในเชิงนโยบายความมั่นคงเป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องที่ไม่อาจละเลยคือการโค่นล้มระบอบซัดดัมโดยใช้ข้อมูลข่าวกรองที่ผิดพลาดเป็นกุศโลบายของผู้ปกครองหรือไม่ พูดให้ชัดกว่านี้คือรัฐบาล ผู้นำประเทศมีสิทธิ์หลอกลวงประชาชนหรือไม่

            ทั้งรัฐบาลอังกฤษ สหรัฐ ต่างพยายามแสดงตนว่าเป็นผู้นำโลกประชาธิปไตย ประเทศเป็นของประชาชน ฟังเสียงประชาชน ทำเพื่อประชาชน หลักคิดที่ซ่อนอยู่ในคำอธิบายของอดีตนายกฯ แบลร์ชวนให้ตั้งคำถามว่าเป็นการ “หลอกลวง” ประชาชนใช่หรือไม่
            Paul Wolfowitz รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นยอมรับในเวลาต่อมาว่าจำต้องอ้างเหตุผลเรื่องอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงเพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับได้
            แม้ว่าคนอังกฤษเป็นผู้มีการศึกษา มีวัฒนธรรมอันดีหลายอย่าง แต่ในบางกรณีรัฐบาลสามารถ “ลวง” พลเมืองตนเอง เพื่อเป้าหมายบางอย่างที่คนอังกฤษยากจะเข้าใจและยอมรับ
            ตกลงว่าเป็นลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน หรือไม่ นี่คือเบื้องหลัง วาทะอันแหลมคมของโทนี แบลร์
1 พฤศจิกายน 2015
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 6934 วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2558)
---------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
หลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” ที่ประกาศในสมัยประธานาธิบดีบุชนิยามว่าเป็นส่งกองทัพเข้ารุกรานอย่างเปิดเผย เป็นนิยามที่ไม่ครอบคลุม บิดเบือน จึงต้องกำหนดนิยามใหม่ อีกประเด็นที่ไม่ควรละเลยคือความเชื่อมโยงกับการส่งเสริมประชาธิปไตย การค้าเสรี คำถามที่สำคัญคือ รัฐบาลโอบามาได้ละทิ้งหลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” หรือไม่ หรือเป็นเพียงปรับตัวให้เข้ากับบริบท
บรรณานุกรม:
1. Castle Stephen. (2015, October 29). Delayed Report on Britain’s Role in Iraq War Is Expected in Summer. The New York Times. Retrieved from http://www.nytimes.com/2015/10/30/world/europe/delayed-report-on-britains-role-in-iraq-war-is-expected-in-summer.html?_r=0
2. Cleveland, William L. & Bunton, Martin. (2013). A History of the Modern Middle East (Fifth Edition). USA: Westview Press.
3. Dobbs, Michael. (2003, September 12). Wolfowitz Shifts Rationales on Iraq War. The Washington Post. Retrieved from https://www.washingtonpost.com/archive/politics/2003/09/12/wolfowitz-shifts-rationales-on-iraq-war/2dc7af35-c9ea-4912-bee6-02484412cd37/
4. Dunne, Charles W. (2011). Iraq: Policies, Politics, and the Art of the Possible. In Akbarzadeh, Shahram (editor). America's Challenges in the Greater Middle East: The Obama Administration's Policies (pp.11-30). New York: Palgrave Macmillan.
5. Freytas-Tamura, Kimiko de. (2015, October 25). Tony Blair Says Iraq War Helped Give Rise to ISIS. The New York Times. Retrieved from http://www.nytimes.com/2015/10/26/world/europe/tony-blair-says-iraq-war-helped-give-rise-to-isis.html
6. Ghanim, David. (2011). Iraq’s dysfunctional democracy. California: ABC-CLIO, LLC.
7. Ismael, Tareq Y., & Haddad, William W. (2004). Iraq: The Human Cost of History.USA: Pluto Press.
8. Mullen, Jethro. (2015, October 25). Tony Blair says he's sorry for Iraq War 'mistakes,' but not for ousting Saddam. CNN. Retrieved from http://edition.cnn.com/2015/10/25/europe/tony-blair-iraq-war/
-------------------------------