เมื่อสามสี่วันก่อน ทางการจีนได้ประกาศให้ทุกวันที่ 13 ธันวาคม
เป็นวันสำคัญประจำปี เพื่อรำลึกผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง (Nanjing
Massacre) เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1930 ตามข้อมูลของจีน
การสังหารหมู่ทำให้ชาวจีนกว่า 3 แสนคนเสียชีวิตภายใน 40 วัน การรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวมุ่งชี้ความโหดร้าย
การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของกองทัพญี่ปุ่นในสมัยนั้น
นอกจากนี้
ให้ทุกวันที่ 3 กันยายน เป็นวันแห่งชัยชนะของสงครามที่กองทัพประชาชนจีนสามารถต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น
(Victory Day of the Chinese People's War of Resistance Against Japanese
Aggression) เพื่อให้คนรุ่นปัจจุบันได้รำลึกประวัติศาสตร์
ที่จีนได้ต่อต้านพวกลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกเผด็จการฟาสซิสต์ในยุคสงครามโลกครั้งที่
2 และนับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่จีนสามารถต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ
พร้อมกับตอกย้ำว่าจีนต้องการสันติภาพและสร้างอนาคตที่สดใส
ให้คนรุ่นใหม่ได้ตระหนักว่าคนรุ่นก่อนได้ร่วมกันขับไล่การรุนรานจากญี่ปุ่นอย่างไร
มีวีรกรรมของผู้รักชาติมากมาย ให้เห็นความสำคัญของการปกป้องอธิปไตยจากผู้รุกราน
ส่งเสริมความรักชาติ
หากนับจากวันเกิดเหตุสังหารหมู่นานกิง
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วเกือบ 8 ทศวรรษ
และมาวันนี้ทางการจีนเพิ่งจะประกาศให้เป็นวันสำคัญแห่งชาติ เหตุผลเบื้องหลังของการประกาศ
จึงตีความเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากการตอบโต้รัฐบาลอาเบะในช่วงนี้
ภายใต้กรอบคิดดังกล่าว
สามารถอธิบายการตอบโต้จากจีนได้ดังนี้
ประการแรก
ตอบโต้ที่นายกฯ อาเบะไปสักการะทหารญี่ปุ่นผู้เสียชีวิตที่ศาลเจ้ายาสุกุนิ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อผู้นำญี่ปุ่นไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ (Yasukuni Shrine) ไม่ว่าจะเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการหรือส่วนตัว
ไม่ว่าจะไปเพื่อสันติภาพหรือไม่
ทางการจีนจะตีความว่าผู้นำญี่ปุ่นให้เกียรติอาชญากรสงครามที่กระทำการอันโหดร้ายต่อจีนในช่วงมหาสงครามเอเชียบูรพา
รัฐบาลจีนโจมตีนายกฯ อาเบะอย่างต่อเนื่อง หลังการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิเมื่อปลายปีที่ผ่าน
กล่าวหาว่ากำลังรื้อฟื้นลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมขึ้นมาอีกครั้ง
ในมุมมองนี้ชี้ว่า
เมื่อรัฐบาลอาเบะพยายามรื้อฟื้นชาตินิยมญี่ปุ่นด้วยการไปเยือนศาลเจ้า รัฐบาลจีนจึงตอบโต้ด้วยการประกาศวันสำคัญส่งเสริมชาตินิยมจีน
ต่อต้านชาตินิยมญี่ปุ่น
ประการที่สอง
ตอบโต้ที่รัฐบาลอาเบะปฏิเสธเรื่องการทำลายล้างนานกิง
เรื่องราวการทำลายล้างนานกิง
เริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายปี 1937
ทหารญี่ปุ่นระดับล่างและระดับกลางได้สังหารหมู่ประชาชนในเมือง 6-7 สัปดาห์ ข้อมูลบางแหล่งอ้างว่าพลเอกเจ้าชายยาสุฮิโกะ
อาซากะ (Yasuhiko Asaka) พระญาติในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ
(Hirohito) ได้รับการแต่งตั้งให้ควบคุมสงครามนานกิง
และมีคำสั่งลับจากศูนย์บัญชาใหญ่ของพลเอกเจ้าชายอาซากะ ให้สังหารเชลยทุกคน
อ้างว่าทหารจีนปลอมตัวเป็นพลเรือนซ่อนตัวอยู่ในเมือง
ในช่วงเวลานั้น
ฝ่ายจีนไม่ได้ประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการ การถอยร่นออกจากเมืองเป็นไปอย่างวุ่นวาย
ทหารราว 7 หมื่นนายติดอยู่ในเมือง ชาวเมืองส่วนใหญ่อพยพออกจากเมืองได้ทัน
แต่อีกราว 2.5 แสนคนยังติดอยู่ภายใน
เมื่อเมืองไม่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐบาลจีน
ชาวต่างชาติที่อยู่ในเมือง 4 ประเทศประกอบด้วยสหรัฐ อังกฤษ เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์
ได้ร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารเขตพื้นที่ปลอดภัย ที่กินบริเวณราว 2
ตารางไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง รายงานการศึกษาเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงจำนวนมากมักอ้างหลักฐานเอกสารราว
4 พันหน้าที่ชาวต่างชาติในเมืองบันทึกความโหดร้ายทารุณที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อชาวจีน
ทั้งยังมีภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวจำนวนมากที่ปัจจุบันสามารถหาดูได้ในสื่อออนไลน์
เชลยชายทุกคนที่มีวัยเป็นทหารถูกมัดและสังหารด้วยปืนกลหรือด้วยดาบปลายปืน
เชลยบางคนถูกจับย่างไฟหรือเผาทั้งเป็น ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่สามารถระบุจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด
มีผู้ประเมินว่าน่าจะราว 3 แสนคน หรืออย่างน้อยจะต้องมากกว่า 150,000 คน
ผู้หญิงกว่า 20,000 คนถูกข่มขืน หลายคนถูกรุมข่มขืน หลายคนถูกข่มขืนแล้วฆ่า
สำหรับญี่ปุ่น
เรื่องการทำลายล้างนานกิง เป็นเรื่องที่สังคมญี่ปุ่นยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน บ้างเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น
บางยอมรับว่าได้สังหารคนจีนจำนวนหนึ่งแต่ไม่มากอย่างที่ฝ่ายจีนกล่าวอ้าง
และบ้างก็ยอมรับตามข้อมูลของฝ่ายจีน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มักมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงญี่ปุ่นออกมากล่าวว่าเรื่องการทำลายล้างนานกิงไม่เป็นความจริง
กรณีที่เป็นข่าวล่าสุดคือ กรณีที่นายนาโอกิ ยากุตะ (Naoki Hyakuta) เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของ NHK
สื่อทางการญี่ปุ่นกล่าวว่า เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงไม่เคยเกิดขึ้น เรื่องนี้เป็น
“การโฆษณาชวนเชื่อ” ของฝ่ายจีน ทางการจีนจึงตอบโต้ด้วยการประกาศจัดตั้งวันรำลึกผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง
เพื่อตอกย้ำประวัติศาสตร์ตามข้อสรุปของฝ่ายจีน
ประการที่สาม
ตอบโต้ที่รัฐบาลอาเบะแก้การเรียนการสอนประวัติศาสตร์
การแก้ไขตำราเรียนคือเรื่องที่เกิดขึ้นควบคู่การการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ
การปฏิเสธการทำลายล้างนานกิง ที่จีนโจมตีว่านี่คือการปลุกลัทธิชาตินิยม
ลัทธิทหารนิยมขึ้นมาใหม่
รัฐบาลอาเบะกำลังปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน
เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมต้นกับมัธยมปลายให้มีความรักชาติมากยิ่งขึ้น รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชาติญี่ปุ่น
มุ่งพูดถึงแต่เรื่องดีของกองทัพ มากกว่าที่จะพูดถึงกองทัพญี่ปุ่นในฐานะเป็นผู้รุกราน
กระทำการอันโหดร้ายทารุณ จึงห้ามการพูดถึงเหตุการณ์ทำลายล้างนานกิงและเรื่องอื่นๆ
ที่สร้างความเสื่อมเสีย
ทางการจีนจึงโต้ตอบด้วยการประกาศวันสำคัญทั้ง
2 วัน เพื่อย้ำเตือนให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง (ตามมุมมองของจีน)
เป็นอย่างไร กองทัพญี่ปุ่นในอดีตไม่ได้ยิ่งใหญ่
ไม่ได้มีเกียรติอย่างที่รัฐบาลอาเบะพยายามปลูกฝัง
ประการที่สี่
ย้ำเตือนว่าสุดท้ายจีนเป็นฝ่ายชนะสงคราม
ผลลัพธ์สุดท้าย
คือการตอกย้ำว่า จีนเป็นฝ่ายมีชัย ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายปราชัย และย้ำว่าญี่ปุ่นเคย
“รุกราน” แผ่นดินจีน (สังเกตการใช้คำว่า ‘Japanese Aggression’) ตอบโต้ที่นายกฯ อาเบะพูดในรัฐสภาว่าเขาไม่เชื่อว่าการที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศอื่นๆ
ในระหว่างสงครามถือว่าเป็น “การรุกราน” โดยให้เหตุผลว่าคำดังกล่าวยังไม่มีนิยามอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
“มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละประเทศ” และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงคำๆ นี้
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นการย้ำเยือนให้คนจีนปัจจุบันเห็นว่าพวกฝ่ายขวาจัดญี่ปุ่นเป็นปรปักษ์
ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต สงครามนานกิงในอดีตจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาพูดอย่างกว้างขวาง
กลายเป็นวิวาทะทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็น ‘สงครามนานกิงในศตวรรษที่
21’ ที่กำลังเป็นไป และคงไม่ยุติในระยะเวลาอันใกล้นี้
จุดอ่อน ข้อควรระวัง :
ดังที่วิเคราะห์ข้างต้นว่า
การจัดงานรำลึกทั้ง 2 วันมีเป้าหมายเพื่อตอบโต้ญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งน่าจะมีผลต่อชาวจีนไม่มากก็น้อย
แต่ในอีกมุมหนึ่งมีจุดอ่อนและข้อควรระวัง ดังนี้
ประการแรก
การจัดวันรำลึก วันฉลองชัยชนะจะมีผลต่อญี่ปุ่นหรือไม่
ไม่ว่าประเทศจีนจะจัดวันรำลึกอย่างไร
หรือจะจัดกี่วันต่อปีก็ตาม ทั้งหมดคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน
ชาวญี่ปุ่นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไร
ที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ในช่วงมหาสงครามเอเชียบูรพา
ยังเป็นชุดความจริง 2 ชุดที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างยึดถือว่าของตนถูกต้อง
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก
ที่สำคัญคือ
ไม่อาจเปลี่ยนแนวคิดของฝ่ายขวาจัดญี่ปุ่น
ไม่อาจเปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของรัฐบาลอาเบะ ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายขวาจัดยึดแนวทางนี้มานานแล้ว
และดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วหลายสิบปี นายกฯ อาเบะเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งในขณะนี้ที่สะท้อนแนวคิดฝ่ายขวาจัด
รัฐบาลอาเบะมาแล้วและจะจากไปในที่สุด รัฐบาลใหม่ในอนาคตหากเป็นพวกขวาจัดก็จะดำเนินนโยบายเช่นนี้อีก
ประการที่สอง
เพิ่มการเผชิญหน้า เพิ่มวาทะกรรม
ผลที่เกิดขึ้นแน่นอนและเกิดขึ้นแล้วคือ
การตอบโต้ไปมาที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่จำนวนประเด็นกับความถี่ จนสหรัฐต้องออกมาปรามเพื่อลดความร้อนแรง
สะท้อนว่า
2 ฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก ทั้งยังน่าคิดอีกว่า รัฐบาลอาเบะต้องการให้เกิดการตอบโต้ใช่หรือไม่
ญี่ปุ่นกำลังขึ้นชั้นเข้ามาต่อกรกับจีนโดยตรง ความตึงเครียดที่เพิ่มพูน
ทำให้บทบาทญี่ปุ่นในภูมิภาคโดดเด่น
ประการที่สาม
ชาตินิยมเข้มข้น
หากวิเคราะห์ในระดับประชาชน
‘สงครามนานกิงในศตวรรษที่ 21’
เป็นสมรภูมิที่ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ปัจจุบันจีนมีประชากรราว
1,350 ล้าน (ข้อมูลปี 2013) ส่วนญี่ปุ่นมี 127 ล้าน รวม 2
ประเทศเท่ากับ 1,477 ล้านคน หรือเกือบเท่ากับ 1 ใน 5 ของประชากรโลก
ถ้ามองในกรอบนี้ น่าจะพูดได้ว่านี่เป็นสงครามขนาดใหญ่
มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก คนเหล่านี้หากไม่ระวัง ขาดความเข้าใจ
ย่อมได้รับการปลูกฝังความเป็นชาตินิยมได้ง่ายๆ ต่างฝ่ายต่างรักชาติคนตน
และมุ่งมองแง่ลบของอีกฝ่าย
การปลูกฝังให้คนในประเทศรักชาติเป็นเรื่องดี แต่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
หากเป็นการปลูกฝังด้วยการมองคนต่างชาติในแง่ลบ
รัฐบาลจีนกับญี่ปุ่นต่างมีหน้าที่ต้องปกป้องอธิปไตย
รักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่หนทางสู่การบรรลุเป้าหมายสามารถทำได้หลายวิธี สมควรไตร่ตรองว่าวิธีการใดจะสร้างคนในชาติได้ดีกว่า
อารยธรรมของจีนกับญี่ปุ่นคืออารยธรรมแห่งสังคมผู้รักสันติจริงหรือไม่
หรือว่าเรื่องเหล่านี้มีแต่ในตำราประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลตั้งใจเขียนให้เยาวชนรุ่นใหม่อ่านแล้วรู้สึกดีเท่านั้น
หากมองในภาพกว้าง
นักวิเคราะห์บางคนเช่นนายปีเตอร์ ลี (Peter Lee) ชี้ว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นคือแนวรบหลักของสมรภูมิทางการเมืองระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปัจจุบัน
‘สงครามนานกิงในศตวรรษที่ 21’
จึงอยู่ในฐานะเป็น 1 ในสมรภูมิย่อยของสงครามใหญ่ในขณะนี้
2 มีนาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6326 วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2557)
-----------------
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ทุกคนทุกชาติต่างมีความเชื่อศาสนาของตนเอง
ทหารญี่ปุ่นหลายคนเข้าทำสงครามด้วยความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่คนชาติอื่นย่อมมีความคิดเห็นของตนเอง
เป็นอีกภาพความจริงของโลกที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน
หรือแม้กระทั่งภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะคิดเห็นตรงกัน ชาวญี่ปุ่นที่ไปสักการะศาลเจ้ายาสุกินิก็ใช่ว่าจะไปด้วยความหมายเดียวกัน
หรือมีความรู้สึกที่เข้มข้นตรงกัน
บรรณานุกรม:
1. Central Intelligence Agency. (2014,
February 2). The World Factbook. Retrieved from
https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/ja.html
2. China plans Nanjing Massacre memorial day. (2014,
February 25). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/25/c_133142561.htm
3. China ratifies anti-Japanese war victory day. (2014,
February 27). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/27/c_133148388.htm
4. China ratifies day for Nanjing Massacre victims. (2014,
February 27). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/27/c_133148350.htm
5. China to set anti-Japanese war victory day. (2014,
February 25). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/25/c_133142573.htm
6. Egler, David G. (2007). Great Events from History: The
20th Century. Gorman, Robert F. (Ed.). USA: Salem Press.
7. Kingston, Jeff. (2013). Contemporary Japan: History,
Politics, and Social Change since the 1980s (2nd ed.). USA: John Wiley
& Sons Ltd.
8. Lee, Peter. (2014, February 25). Asia pivot comes
back to bite the US. Retrieved from http://www.atimes.com/atimes/China/CHIN-01-250214.html
9. NHK massacre denier "historically
shortsighted": expert. (2014, February 6). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/indepth/2014-02/06/c_133095713.htm
10. Takahashi, Kosuke. (2014, February 13). Shinzo Abe’s
Nationalist Strategy. Retrieved from http://thediplomat.com/2014/02/shinzo-abes-nationalist-strategy/
-------------------------------