ก๊าซธรรมชาติกับน้ำมัน (ปิโตรเลียม) ที่ใช้กันทั่วไปในโลกมีที่มาจากหลายแหล่ง สามารถแบ่งอย่างง่ายๆ
ว่าเป็นแหล่งบนบกกับแหล่งในทะเล
ในความจริงแล้วปิโตรเลียมแต่ละแหล่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน มีความยากง่ายในการขุดเจาะไม่เท่ากัน
ต้องอาศัยเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาสมแตกต่างกันออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการเลือกใช้เทคโนโลยีการขุดเจาะขึ้นกับลักษณะของแหล่ง
มีผลต่อต้นทุนการผลิต ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
การที่ประเทศไทยเพิ่งจะได้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเมื่อปี ค.ศ.1981
ส่วนหนึ่งก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว
shale gas คือก๊าซธรรมชาติที่ถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินดินดาน ส่วน shale oil คือน้ำมันดิบที่พบในชั้นหินดินดาน คนทั่วไปมักใช้คำว่า shale oil กับ tight oil ในความหมายเดียวกัน
แต่แท้ที่จริงแล้วมีความหมายต่างกัน shale oil คือ tight
oil ประเภทหนึ่งที่มีคุณสมบัติซึมซาบไหลผ่านช้า
ในแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐฯ ใช้คำว่า tight oil
เป็นหลักเพราะเป็นคำที่กินความครอบคลุมและถูกต้องมากกว่าเพราะ tight oil พบได้ในหลายแหล่งไม่เฉพาะในชั้นดินดินดานเท่านั้น (เป็นที่มาของชื่อ shale
oil)
มนุษย์รู้จัก shale gas กับ shale oil/tight
oil มานานแล้ว
แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับต้นทุนการผลิตที่ผ่านมามนุษย์จึงใช้ปิโตรเลียมจากแหล่งทั่วไป (conventional) การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ10
ปีที่แล้วเมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกผู้ค้นพบเทคโนโลยีการผลิตที่เรียกว่า "fracking”
"fracking” คือระบบวิธีการผลิตด้วยการผสานสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน
ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing กับ Horizontal
Drilling โดยจะฉีดน้ำผสมสารเคมีและทรายจำนวนมหาศาลลงใต้ดินเพื่อทำให้เกิดรอยแตกในชั้นหิน
เป็นเหตุให้ shale gas กับ shale oil/tight oil ที่ถูกเก็บกักอยู่ระหว่างชั้นจึงหลุดออกมา
กระบวนการดังกล่าวไม่กระทำเฉพาะในแนวดิ่งเท่านั้น
ยังกระทำในแนวราบด้วยจึงสามารถขุดเจาะได้บริเวณกว้างได้ปิโตรเลียมจำนวนมาก
ปริมาณ
shale gas กับ shale oil/tight oil เป็นเรื่องที่วงการอุตสาหกรรมน้ำมันให้ความสำคัญ
เพราะโลกแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ อยู่เสมอ มีความจำเป็นต้องผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ
ให้ทันกับความต้องการ รายงานล่าสุดของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (2013) ชี้ว่าทั้งโลกมี
shale oil/tight oil จำนวน 345 พันล้านบาร์เรลจากทั้งหมด 42
ประเทศที่ทำการสำรวจ เพียงพอให้ทั้งโลกใช้เป็นเวลากว่า 10 ปี
(คิดจากปริมาณการบริโภคที่ราว 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน) รัสเซียมีปริมาณ shale
oil/tight oil มากที่สุด ราว 75 พันล้านบาร์เรล รองลงมาคือสหรัฐฯ
มีประมาณ 58 พันล้านบาร์เรล จีนมี 32 อาร์เจนตินา 27 และลิเบียมี 26
พันล้านบาร์เรล ปริมาณดังกล่าวเป็นปริมาณที่สำรวจพบในทางเทคนิค
ปริมาณที่สำรวจพบในทางเทคนิค (technically recoverable) หมายถึง
ปริมาณที่เทคโนโลยีปัจจุบันสามารถผลิตได้ โดยไม่คำนึงเรื่องราคาหรือต้นผลิตการผลิต
ต้นทุนการผลิตของแต่ละที่แต่ละแหล่งไม่เท่ากัน
หากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นโอกาสที่แหล่งต่างๆ
จะคุ้มค่าเชิงพาณิชย์จะมีมากขึ้น ดังนั้น
ปริมาณที่มีอยู่จริงไม่ได้หมายความว่าจะถูกดึงมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด
ส่วน shale gas พบว่ามีปริมาณมหาศาลเช่นกัน หากรวมก๊าซธรรมชาติจาก shale gas จะทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 หรือเท่ากับ 22,882 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต อย่างไรก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ต้องพึงระลึกเสมอคือการสำรวจระดับโลกยังอยู่ในขั้นเบื้องต้น ไม่ได้กระทำอย่างทั่วถึง ปริมาณที่มีอยู่จริงน่าจะมากกว่านี้
ส่วน shale gas พบว่ามีปริมาณมหาศาลเช่นกัน หากรวมก๊าซธรรมชาติจาก shale gas จะทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 หรือเท่ากับ 22,882 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต อย่างไรก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ต้องพึงระลึกเสมอคือการสำรวจระดับโลกยังอยู่ในขั้นเบื้องต้น ไม่ได้กระทำอย่างทั่วถึง ปริมาณที่มีอยู่จริงน่าจะมากกว่านี้
เมื่อพิจารณาเฉพาะส่วนของสหรัฐอเมริกา ข้อมูลล่าสุดพบว่ามีปริมาณ shale
gas ทั้งหมด 7,299 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้นจากรายงานปี 2011
ที่ 6,622 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ส่วน shale oil/ tight oil พบว่ามี
345 พันล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ที่คาดว่ามีเพียง 32 พันล้านบาร์เรล (สังเกตว่าปริมาณที่สำรวจพบล่าสุดเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัว)
แหล่งสหรัฐฯ
เป็นแหล่งที่มีความสำคัญเพราะนอกจากมีปริมาณมากแล้วยังเป็นเพียงหนึ่งในสองประเทศในปัจจุบันที่ดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว
ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจาก shale gas คิดเป็นร้อยละ 40
ของปริมาณก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่ประเทศผลิตในปี 2012 ส่วนน้ำมันดิบที่ผลิตจาก shale
oil/tight oil คิดเป็นร้อยละ 29 ของปริมาณน้ำมันดิบที่ประเทศผลิตได้
เหตุที่สหรัฐฯ สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวก่อนประเทศอื่นมาจากเหตุผลหลายอย่าง
ประการแรกคือบริษัทเอกชนประสบความสำเร็จคิดค้นเทคโนโลยี "fracking” ก่อนประเทศอื่นๆ ประการที่สองคือกฎหมายอเมริกาให้ shale gas กับ tight oil
ที่อยู่ใต้พื้นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน
จึงเอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชนและดึงมาใช้ประโยชน์อย่างรวดเร็ว
ประการที่สามคือมีโครงสร้างระบบท่อรองรับอยู่แล้ว (ขนส่งสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย)
และมีแหล่งน้ำมากเพียงพอซึ่งจำต้องใช้ในขั้นตอน hydraulic fracturing
นักวิเคราะห์คาดว่าในอนาคตสหรัฐฯ
จะผลิตน้ำมันได้มากขึ้น องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy
Agency หรือ IEA) ประเมินว่าก่อนปี 2020
สหรัฐฯ จะเปลี่ยนจากผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกมาเป็นผู้ผลิตผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกแซงหน้าประเทศซาอุดิอาระเบีย
เมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องกับตลาดโลก พบว่าก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง shale
gas ของสหรัฐฯ ไม่ค่อยมีผลต่อราคาก๊าซทั่วโลก
เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับราคาตลาดโลกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมัน
ดังนั้นประเด็นที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญคือผลของ shale oil/tight oil ต่อตลาดโลก
ในระยะสั้นหรือสองสามปีที่ผ่านมา ไม่มีผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลก เนื่องจากเป็นช่วงที่อุปทานน้ำมันโลกมีความตึงตัว
การที่สหรัฐฯ เริ่มผลิตน้ำมันดิบจาก shale oil/tight oil ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบโลกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในระยะกลาง 5 ปี องค์กรพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าแม้จะค้นพบแหล่งปิโตรเลียมเหล่านี้จากหลายประเทศ
แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงมีผู้ผลิต shale gas กับ
shale oil/tight oil รายใหญ่เพียงไม่กี่ประเทศ เนื่องจากแต่ละแหล่งมีความแตกต่างทั้งเรื่องการก่อตัวของชั้นดินและเงื่อนไขอื่นๆ
เช่น กฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ แหล่งน้ำที่มากเพียงพอ
เหล่านี้ล้วนมีผลต่อต้นทุนการผลิต มีผลต่อแรงจูงใจว่าควรลงทุนหรือไม่
เมื่อไม่สามารถคาดการณ์กำลังการผลิต จึงไม่อาจคาดการณ์ผลต่อราคาน้ำมันโลกอย่างชัดเจน
ในขณะที่ต้องระลึกเสมอว่าเทคโนโลยียังพัฒนาได้อีกมาก
อีกทั้งการสำรวจอาจค้นพบแหล่งปิโตรเลียมจาก shale oil/tight oil เพิ่มขึ้น
ประเด็นที่สำคัญกว่าคือผลระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) ต่อราคาน้ำมันโลก ในด้านอุปสงค์เป็นที่ชัดเจนว่าโลกในศตวรรษที่ 21จะบริโภคปิโตรเลียมมากขึ้น เศรษฐกิจหลายประเทศกำลังเติบโต
ปริมาณคนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คนเหล่านี้มีรถยนต์
มีเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก งานวิจัยในอดีตจึงมีข้อสรุปว่าไม่เกินปี 2030 โลกจะต้องหันมาพึ่งพาปิโตรเลียมจากองค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก
(Organization of Petroleum Exporting Countries หรือโอเปก)
มากขึ้น เนื่องจากเมื่อโลกบริโภคพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ
จะเกินกำลังแหล่งผลิตปิโตรเลียมของนอกกลุ่มโอเปก (non-OPEC)
ทำให้ความเป็นไปของภูมิภาคตะวันออกกลางมีผลต่อราคาน้ำมันโลก แต่งานวิจัยล่าสุดมองว่าราคาน้ำมันในระยะยาวน่าจะมีเสถียรภาพ
ไม่เกิดภาวะปรับตัวขึ้นสูงผิดปกติ เพราะไม่ช้าก็เร็วโลกจะมีผู้ผลิต shale
gas กับ shale oil/tight oil เพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์คือผู้ผลิตน้ำมันรายเดิมจะลดความสำคัญ อิทธิพลของโอเปกที่มีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาจะลดน้อยลง
สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางจะไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดังเช่นช่วงทศวรรษ
1990 – 2000 ที่สงครามอ่าวเปอร์เซียทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นมาก
องค์การข้อมูลข่าวสารด้านพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Energy
Information Administration) เห็นว่าที่สุดแล้วผลตอบแทนจากการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญว่าผู้ผลิตทั่วโลกจะยอมผลิตมากน้อยเพียงไรหรือขึ้นกับหลักอุปสงค์อุปทานนั่นเอง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของกระบวนการผลิตปิโตรเลียมด้วยวิธีการ
"fracking”
ทำให้มนุษย์สามารถดึงก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (shale gas) และ shale oil/tight oil ที่สะสมอยู่ใต้พิภพนับล้านๆ
ปีมาใช้ประโยชน์ ทุกวันนี้มีเพียงสหรัฐฯ กับแคนาดาสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์
เชื่อว่าอีกไม่นานประเทศอื่นๆ จะสามารถผลิตได้เช่นกัน
นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก ช่วยลดต้นทุนให้ต่ำกว่าเดิม
ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะเมื่อโลกบริโภคพลังงานมากขึ้นจะเป็นตัวจูงใจให้นานาประเทศสนใจและอยากพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเหล่านี้
ความกังวลว่าน้ำมันจะหมดโลกถอยห่างออกไปอีกอย่างน้อยอีก 10 ปี
ในขณะเดียวกันหากมีประเทศผู้ผลิตมากขึ้นและสหรัฐฯ
อาจกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (หรืออย่างน้อยไม่นำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ) ย่อมส่งผลต่อตลาดน้ำมันโลก
เชื่อว่าราคาน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ที่สุดแล้วราคาตลาดโลกจะช่วยควบคุมปริมาณการผลิตให้เป็นไปตามหลักอุปสงค์อุปทาน
หลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งสำรวจว่าประเทศตนมี
shale gas กับ shale oil/tight oil หรือไม่
เปรียบเสมือนการค้นหาขุมทรัพย์
เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่กำลังเร่งศึกษาเทคโนโลยีผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากแหล่งเหล่านี้
ในอนาคตจะมีอีกหลายประเทศที่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้
เฉกเช่นเดียวกับประเทศไทยในยุคหนึ่งที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นยุคโชติช่วงชัชวาล
3 กรกฎาคม 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ได้รับการเผยแพร่ผ่าน ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2556, http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1271)
(ได้รับการเผยแพร่ผ่าน ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2556, http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1271)
(ปรับปรุงแก้ไข 27 พฤศจิกายน 2014)
------------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง
Shale gas กับ Shale oil ผู้ท้าทายวงการน้ำมันโลกความสำเร็จของสหรัฐฯ ในการพัฒนา shale gas กับ shale oil จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมน้ำมันโลก ต่อวงการน้ำมันโลกอย่างแน่นอน
บรรณานุกรม:
1. ก๊าซธรรมชาติ, กระทรวงพลังงาน,
http://www.energy.go.th/index.php?q=node/386, Accessed 18 June 2013.
2. World Has 10 Years of Shale Oil: US Department of Energy,
CNBC/Financial Times, 11 June 2013, http://www.cnbc.com/id/100804970
3. Roy Nersesian, Energy for the 21st Century, second edition
(N.Y.: M.E. Sharpe, 2010)
4. Technically Recoverable Shale Oil and Shale Gas
Resources: An Assessment of 137 Shale Formations in 41 Countries Outside the United
States, U.S. Department of Energy, http://www.eia.gov/analysis/studies/worldshalegas/pdf/fullreport.pdf
5. How the US Could be the World's Next Major Producer of
Oil, CNBC, 13 January 2013, http://www.cnbc.com/id/100375838
6. Handel Jones, CHINAMERICA: The Uneasy Partnership that
Will Change the World (USA: McGraw-Hill, 2010)
7. John Fanchi, Energy in the 21st Century, second edition
(N.J.: World Scientific Publishing, 2011)
8. Bill Paul, Future Energy: How the New Oil Industry Will
Change People, Politics and Portfolios (N.J.: John Wiley & Sons, 2007)
-------------------------------------