“No Kings” ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)

สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนเดียว

            การประท้วง "No Kings" (ไม่เอาเจ้า) เป็นขบวนการใหญ่ ประสานงานทั่วประเทศ เจาะจงตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ผู้ประท้วงเห็นว่าใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ ส่งผลต่อคนจำนวนมาก อาจมีผลต่อการเมืองการปกครองของประเทศในอนาคต

ความไม่เป็นประชาธิปไตยของทรัมป์:

            ผู้ติดตามการเมืองสหรัฐจะเห็นข่าวหรือเสียงวิพากษ์ “ความไม่เป็นประชาธิปไตยของทรัมป์” ประโยคนี้เป็นการพูดอย่างสุภาพ เลี่ยงคำว่า “เผด็จการ” อาจตีความว่ายังไม่ฟันธงว่าทรัมป์เป็นคนเช่นนั้นจริงๆ เพียงแค่แสดงอาการบางครั้งบางคราว หรือเป็นการเซ็นเซอร์ตัวเอง

            ความไม่เป็นประชาธิปไตยของทรัมป์ปรากฏตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก บางคนชี้ว่าเป็น "Presidential King" (ประธานาธิบดีเยี่ยงราชา) วิพากษ์ประธานาธิบดีใช้อำนาจราวกับตนเองเป็นราชาในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มองว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ผูกมัดด้วยรัฐธรรมนูญ และคาดหวังความภักดีจากทุกคนโดยปราศจากเงื่อนไข (ภักดีต่อตนมากกว่าภักดีต่อประเทศ)

การประท้วง "No Kings":

            การประท้วง "No Kings" (ไม่เอาเจ้า) อ้างอิงรากฐานการก่อตั้งประเทศที่ปฏิเสธระบอบกษัตริย์ อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของผู้ปกครองเพียงคนเดียว ที่เดิมสหรัฐเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ

            คนอเมริกันต่อต้านระบอบกษัตริย์รุนแรง เพราะประวัติศาสตร์ประเทศมาจากการต่อต้านกษัตริย์อังกฤษที่ปกครองสหรัฐยาวนาน เพิ่งแยกตัวเป็นเอกราชเมื่อ 250 ปีนี้เอง ความคิดเช่นนี้ถูกปลูกฝังในคนอเมริกัน อยู่ในตำราเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย เมื่อคนอเมริกันพูดถึงเสรีภาพ ความเสมอภาค นอกจากหมายถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ยังโยงถึงประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเป็นอาณานิคม คนอเมริกันเป็นชาวอาณานิคม ไม่ใช่พลเมืองเต็มขั้น

            ในศตวรรษที่ 21 นี้พวกเขาจะไม่ยอมกลับไปอยู่ในระบอบกษัตริย์อีก

ต้นเหตุแยกออกจากอังกฤษ:

            บางคนคิดว่าจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอเมริกามาจากประชาชน ข้อมูลหลักฐานชี้ว่ามาจากการแตกหักของชนชั้นปกครองด้วยกันเอง

            ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 18 รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ควบคุมอาณานิคมอเมริกาอย่างเข้มงวด เก็บภาษีต่ำ อำนาจของรัฐบาลอังกฤษอยู่แต่ในเมืองใหญ่ๆ หลังทศวรรษ 1760 อังกฤษขาดดุลงบประมาณจากการขยายอำนาจ การรักษาอาณานิคมทั่วโลก โดยเฉพาะสงครามเจ็ดปีในยุโรป (Seven Years' War; 1756 – 1763) จึงต้องหารายได้เพิ่ม อเมริกาคือหนึ่งในเป้าหมาย

            1764 รัฐบาลอังกฤษประกาศใช้กฎหมายภาษีน้ำตาล (Sugar Act) เพิ่มภาษีสินค้าส่งออก ทำให้ราคาน้ำตาล กาแฟ ไวน์ที่ส่งออกจากอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น (เป็นปัญหากับพ่อค้าอเมริกัน)

            ปีถัดมาประกาศใช้ Stamp Act ทำให้สินค้านำเข้าทุกอย่างจากอังกฤษที่ทำจากผลิตภัณฑ์กระดาษเพิ่มสูงขึ้น เช่น หนังสือ (สมัยนั้นหนังสือส่วนใหญ่นำเข้าจากอังกฤษ)

            ชาวอาณานิคมเห็นว่าถ้าเก็บภาษีมากเช่นนี้ พวกตนควรมีตัวแทนในสภาอังกฤษ เป็นปากเป็นเสียงแก่ตัวเอง จึงเกิดนโยบาย “No taxation without representation

            อธิบายรายละเอียด ผลของการขึ้นภาษี กระทบรายได้ของพ่อค้าเมืองนิวอิงแลนด์กับเจ้าของไร่ทางภาคใต้มากที่สุด ทั้ง 2 กลุ่มจับมือร่วมกันประกาศ “No taxation without representation ต่อต้านภาษีดังกล่าว แตกหักกับพวกจงรักภักดีต่อราชวงศ์ และหันไปร่วมมือกับอีก 2 กลุ่มที่เหลือคือพวกเจ้าของกิจการร้านค้า ช่างฝีมือ และพวกเจ้าของไร่นาขนาดเล็ก เกิดเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

            ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอังกฤษเริ่มชุมนุมประท้วงและคว่ำบาตรสินค้าอังกฤษ จัดตั้งกลุ่มต่อต้านชื่อ Sons and Daughters of Liberty มีทั้งชุมนุมอย่างสงบกับใช้ความรุนแรง เช่น เผาบ้านผู้ว่าการเจ้าอาณานิคมที่บอสตัน

            ปี 1765 นี้เอง 9 ใน 13 รัฐส่งตัวแทนเข้าประชุม Stamp Act Congress เพื่อส่งหนังสือถึงกษัตริย์อังกฤษ เรียกร้องขอมีตัวแทนในรัฐสภาอังกฤษ การประชุมนี้ถือเป็นก้าวแรกของการสร้างประเทศอเมริกา แต่ฝ่ายอังกฤษเห็นว่าการมีตัวแทนสหรัฐทำให้รัฐสภาขาดประสิทธิภาพ ตัวแทนที่มีอยู่แล้วมุ่งรักษาประโยชน์สูงสุดของอังกฤษกับอาณานิคมอยู่แล้ว

          เกิดกระแสต่อต้านอำนาจรัฐบาลอังกฤษ เห็นว่าเป็นต้นเหตุโครงสร้างการเมืองและสังคมที่ไม่ชอบธรรม แต่ยังไม่ถึงขั้นขอแยกตัวเป็นเอกราช

            ช่วงนี้ยังไม่มีแนวคิดปฏิวัติแต่กระแสต่อต้านรัฐบาลอังกฤษลุกโชน มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เช่น Sons of Liberty สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นเมื่ออังกฤษส่งทหาร 4,000 นายมาที่บอสตัน มีนาคม 1770 ทหารอังกฤษยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมจนเสียชีวิต 5 ราย กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ชื่อว่า “การสังหารหมู่บอสตัน” (Boston Massacre)

            ผลการคว่ำบาตรเครื่องดื่มชา ทำให้ชาค้างในคลังสินค้าจำนวนมาก ผลกำไรลดฮวบ ค.ศ.1773 รัฐบาลอังกฤษจึงแก้ไขด้วยการให้บริษัท East India Company ส่งใบชามาขายในอเมริกาโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางของนิวอิงแลนด์ กระทบผลประโยชน์พ่อค้ากลุ่มนี้โดยตรง เกิดกระแสต่อต้านใหญ่อีกครั้ง Samuel Adams กับพวกขึ้นเรืออังกฤษ 3 ลำที่มาเทียบท่าเมืองบอสตัน แล้วโยนลังบรรจุใบชา 342 ลังลงทะเล กลายเป็นประวัติศาสตร์อเมริกาที่เรียกว่าเหตุการณ์ “Boston Tea Party of 1773

Boston Tea Party of 1773

          นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเป้าหมายของ Samuel Adams คือหวังให้รัฐบาลอังกฤษตอบโต้ เกิดเหตุบานปลาย เพื่อเป็นข้ออ้างแยกตัวเป็นเอกราช

            5 เดือนต่อมารัฐบาลอังกฤษตอบโต้ด้วยหลายมาตรการ เช่น ไม่ใช้ท่าเรือบอสตันเป็นท่าเรือค้าขายอีกต่อไป (กระทบพ่อค้าเมืองนิวอิงแลนด์) เปลี่ยนผู้ว่าการเมืองแมสซาชูเซตส์ กีดกันไม่ให้คนเดินทางไปฝั่งตะวันตกของอเมริกา กระทบต่อผลประโยชน์ของเจ้าของไร่ทางภาคใต้ที่ต้องการเข้าถึงดินแดนฝั่งนั้น

            ผลจากมาตรการเหล่านี้เป็นดังราดน้ำมันเข้ากองเพลิง ให้พวกหัวรุนแรง (radicals) ใช้เป็นเหตุต้านรัฐบาลอังกฤษ

            กันยายน 1774 ฝ่ายต่อต้านจัดการประชุมรวมแกนนำทั้งประเทศ First Continental Congress แถลง Declaration of Rights and Resolves ให้อาณานิคมมีสิทธิ์ต่างๆ มากขึ้น มีส่วนร่วมกำหนดอัตราภาษี แต่กษัตริย์จอร์จที่ 3 (George III) แห่งอังกฤษไม่ยอมรับเงื่อนไข เมษายน 1775 เกิดเหตุปะทะกันอีกที่แมสซาชูเซตส์ ทหารฝ่ายอาณานิคมเสียชีวิต 8 นาย ทหารอังกฤษ 16,000 นายควบคุมบอสตัน

            วิเคราะห์: แท้จริงแล้วพื้นที่เผชิญหน้าอยู่ในขอบเขตจำกัดมาก รวมๆ แล้วคือ ตัวเมืองของแมสซาชูเซตส์ ผู้เสียชีวิตจากการปะทะ (ช่วงปี 1770 กับ 1775) รวมกันแค่ไม่กี่ราย แต่ฝ่ายสหรัฐซึ่งหมายถึงชนชั้นปกครองตีความว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก จนทนเป็นอาณานิคมอีกไม่ได้แล้ว

            1776 ที่ประชุม Second Continental Congress เริ่มต้นด้วยการเสนอรอมชอมกับอังกฤษแต่ถูกปฏิเสธ อังกฤษส่งทหารเข้าอเมริกาอีก 20,000 นาย

            พฤษภาคม 1776 เวอร์จิเนียเป็นรัฐแรกที่เรียกร้องแยกตัวออกจากอังกฤษ

            ที่ประชุมแต่งตั้งคณะกรรมการจำนวนหนึ่งร่าง “คำประกาศอิสรภาพ” (The Declaration of Independence) เนื้อหาส่วนหนึ่ง เช่น “มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นอย่างเท่าเทียม” ปัจเจกบุคคลมีเสรีภาพ และสามารถแสวงหาความสุข (life, liberty, and the pursuit of happiness)

            เนื้อหาส่วนใหญ่อยู่บนหลักของนักปรัชญาการเมือง เช่น จอห์น ล็อค (John Locke) ที่ชี้ว่า พลเมืองมีสิทธิล้มรัฐบาลของตนถ้ารัฐบาลไม่ยุติธรรม เป็นทรราช (unjust or tyrannical) เพราะรัฐบาลมีเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนไม่ใช่เพื่อชนชั้นอำนาจ

            4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 อาณานิคม 13 แห่งรวมตัวประกาศอิสรภาพกลายเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันไม่อยู่ภายใต้ผู้นำตามระบอบกษัตริย์ อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของผู้ปกครองเพียงคนเดียว

            จะเห็นว่ามูลเหตุคือความขัดแย้งของชนนชั้นนำในอเมริกากับรัฐบาลอังกฤษ จากประเด็นภาษี ส่งผลต่อกำไรขาดทุนของพ่อค้ากับชนชั้นนำ การต่อต้านจนถึงการขับเคลื่อนประกาศเอกราชก็อาศัยชนชั้นนำเป็นหลัก

          ในที่สุดเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาตามระบอบประชาธิปไตย แต่บัดนี้ทรัมป์พยายามใช้อำนาจเยี่ยงราชา กำลังเปลี่ยนให้ประเทศกลับสู่ระบอบการปกครองที่ผู้นำมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง คนอเมริกันจึงเรียกร้อง “No Kings”

26 ตุลาคม 2025
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 30 ฉบับที่ 10571 วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568)

--------------

บรรณานุกรม :

1. Ginsberg, Benjamin., Lowi, Theodore J., Weir, Margaret., Tolbert, Caroline J., & Spitzer, Robert J. (2015). We the People: An Introduction To American Politics. (Tenth Essentials Edition). NY.: W. W. Norton & Company.

2. Magleby, David B., Light, Paul C. (2009). Government by the People (23rd Ed.). USA: Pearson Education.

3. O'Connor, Karen., Sabato, Larry J., Yanus, Alixandra B. (2011). American Government: Roots and Reform (2011 Texas Edition). USA: Pearson Education.

-----------------