ฮูโก ชาเวซผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่าต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
ในช่วงทศวรรษ
1980 ขณะอยู่ในกองทัพ ฮูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) ก่อตั้งขบวนการใต้ดินชื่อ
MBR-200 (Revolutionary Bolivarian Movement-200) ร่วมกับเพื่อนนายทหาร เป็น "กลุ่มตั้งต้น" หรือ
"เซลล์ปฏิวัติ" เพื่อเตรียมเปลี่ยนแปลงประเทศ
อุดมการณ์หลักของ MBR-200 คือ
"ลัทธิโบลิเวียเรียน" (Bolivarianism) มีเป้าหมาย
3 ข้อ
1)
ต่อต้านการคอร์รัปชัน อันเป็นการโจมตีชนชั้นนำทางการเมืองที่ผูกขาดอำนาจและคอร์รัปชันในระบบ
(สมัยนั้นเป็นระบบสองพรรคที่สลับกันเป็นรัฐบาล
ทั้งสองพรรคไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ)
2)
ส่งเสริมชาตินิยมและต่อต้านจักรวรรดินิยม แม้เป็นประเทศอธิปไตยแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
จึงต้องการเอกราชที่แท้จริง ขจัดอิทธิพลต่างแดน
3) สร้างความยุติธรรมทางสังคม กระจายความมั่งคั่งมหาศาลจากน้ำมัน
ไม่ใช่กระจุกเพื่อใครบางกลุ่มเท่านั้น ต้องการสร้างระบบที่เท่าเทียมกว่านี้
สังเกตว่า
ต้นเหตุความไม่เท่าเทียม ความยากจน มาจากการกดทับของชนชั้นนำทางการเมืองที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
ก้าวสู่การเมืองและรัฐประหาร 1992:
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชาเวซเป็นที่รู้จักคือ
ความพยายามก่อรัฐประหารในปี 1992
ชาเวซนำกลุ่ม
MBR-200 พยายามยึดอำนาจจากประธานาธิบดี การ์โลส อันเดรส
เปเรซ (Carlos Andrés Pérez) ซึ่งไม่เป็นที่นิยมจากวิกฤตเศรษฐกิจและนโยบายรัดเข็มขัด
แต่การยึดอำนาจล้มเหลว ชาเวซถูกจับกุม
แม้จะล้มเหลวแต่ชาเวซกลายเป็น
สัญลักษณ์ของการต่อต้านชนชั้นนำที่คอร์รัปชัน ในสายตาคนจน เขาถูกจำคุก 2
ปีแล้วได้รับการอภัยโทษ
หลังจากนั้นเปลี่ยนกลยุทธ์จากการใช้กำลังเป็นการต่อสู้ในระบบการเลือกตั้ง
ฮูโก
ชาเวซ โด่งดังมากขึ้นในฐานะฝ่ายค้านใหม่ต่อต้านพรรคการเมืองหลัก 2
พรรคใหญ่ที่เดิมเป็นฝ่ายตรงข้ามกันเสมอ 2
พรรคใหญ่หันมาจับมือเพื่อต่อต้านฝ่ายชาเวซโดยเฉพาะ
2
พรรคใหญ่มีฐานเสียงเดิม มีเงินทุนและสื่อในมือ
ส่วนชาเวซหาเสียงโดยชูนโยบายประชานิยม สัญญาว่าจะกวาดล้างการคอร์รัปชันและกระจายความมั่งคั่ง
(ซึ่งส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน) ออกนโยบายสวัสดิการสังคมจำนวนมาก
ชาเวซเทิดทูนฟิเดล
คาสโตร (Fidel Castro) ผู้นำคิวบาและสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลสหรัฐ
ธันวาคม 1998 ชนะการเลือกตั้ง เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนกุมภาพันธ์ 1999
เป็นจุดเริ่มต้นของ "การปฏิวัติโบลิเวียเรียน"
เหตุผลที่ชาเวซชนะเลือกตั้ง:
จากหลักฐานต่างๆ
สรุปว่า
1)
คนรากหญ้าทนสภาพเดิมไม่ไหว
เหตุผลแรกสุดที่ควรเอ่ยถึงคือ แม้ประเทศมีทรัพยากรน้ำมันมหาศาล มีการเลือกตั้งได้รัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย
มีฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่ชีวิตคนรากหญ้าไม่ดีขึ้นจริง ชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่อย่างปากกัดตีนถีบ
2)
บุคลิกภาพต้องตาต้องใจ
ฮูโก ชาเวซพื้นฐานเป็นทหารพลร่ม เป็นคนห้าวหาญ พูดจริงทำจริง
กล้าออกหน้าเพื่อประชาชน ชาวบ้านคนรากหญ้าผู้โหยหาชีวิตที่ดีกว่า
เมื่อพบคนอย่างชาเวซจึงฝากความหวังว่าเขาจะเปลี่ยนประเทศ
เปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
ชัยชนะของชาเวซคือให้ความหวังแก่ประชาชน
เห็นความหวังจะได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง
3)
นโยบายประชานิยมจับต้องได้
คนชอบนโยบายประชานิยมเพราะจับต้องได้
เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคมที่ส่งตรงถึงประชาชน ชาวบ้านได้รับจริง
อาศัยรายได้จากน้ำมันสร้างผลประโยชน์กระจายสู่สังคม
แต่จุดอ่อนของนโยบายนี้คือความยั่งยืน
ไม่นำสู่การพัฒนาจริง
แต่ไม่ว่าประชานิยมยั่งยืนหรือไม่ คนรากหญ้าไม่สนใจ ไม่มีเวลาคิดถึงอนาคต
เพราะต้องการ “อยู่รอด” วันนี้ก่อน
ให้ความสำคัญกับวัตถุสิ่งของมากกว่าความเป็นไปของสังคม
อันเป็นการยึดแนวทางพัฒนาสู่ความทันสมัยแบบชาติตะวันตก
ชาวลาตินอเมริกาจึงมุ่งหน้าสู่เมือง แสวงหาความเจริญทางวัตถุ
อย่างน้อยขอให้อิ่มท้อง ได้สนุกสนานอีกวัน
การบริหารประเทศ:
ประการแรก
โครงการสวัสดิการสังคมขนาดใหญ่
รัฐบาลชาเวซดำเนินโครงการมิซิโอเนส
(Bolivarian Missions) ใช้งบประมาณมหาศาลจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงในช่วงนั้น
สร้างโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่ ที่สำคัญคือ
1)
Misión Barrio Adentro: โครงการด้านสาธารณสุข
โดยนำแพทย์หลายพันคนจากคิวบามาประจำการในคลินิกตามชุมชนแออัด
2)
Misión Robinson: โครงการรณรงค์การรู้หนังสือ
3)
Mercal: โครงการร้านค้าอุดหนุนราคาอาหารและของใช้ที่จำเป็น
ประการที่
2 การยึดกิจการเป็นของรัฐ
แต่ไหนแต่ไรบริษัท
PDVSA (อ่านว่า เปเดเบซา) หรือบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแห่งชาติของเวเนซุเอลา
เป็นแหล่งรายได้หลักเกือบทั้งหมดของประเทศ (รายได้จากการส่งออกกว่า 95% มาจากน้ำมัน) เป็นตัวขับเคลื่อนโครงการทั้งหลายของรัฐ
การที่ประเทศขาดเงินทุนกับเทคโนโลยี
จึงต้องเปิดรับการลงทุนจากบรรษัทน้ำมันต่างชาติ (เช่น ConocoPhillips,
ExxonMobil, Total, Chevron) ในรูปแบบสัญญาร่วมทุน (Joint
Ventures) และสัญญาบริการ (Operating Agreements) ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมัน แต่ถูกวิพากษ์ว่าเป็นสัญญาที่เสียเปรียบ
เพราะรัฐบาลเวเนซุเอลา (ก่อนชาเวซ) ให้เงื่อนไขที่เสียเปรียบมาก เช่น เก็บอัตราค่าภาคหลวง
(Royalty) เพียง 1% (เทียบกับปกติที่ 16.7%) รัฐจึงมีรายได้เพียงน้อยนิดจากน้ำมันของประเทศ
ชาเวซหาเสียงโจมตีรัฐบาลชุดเก่าว่า "ขายชาติ"
"ยอมให้ต่างชาติปล้นทรัพยากร"
เมื่อเข้าสู่สมัยชาเวซ
รัฐบาลของเขาเข้าควบคุมและยึดกิจการสำคัญๆ หลายแห่งเป็นของรัฐ
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน รวมทั้งโทรคมนาคม พลังงาน และที่ดินการเกษตร
ประการที่ 3 นโยบายต่อต้านสหรัฐ
ดังที่รับรู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลสหรัฐมีอิทธิพลต่อเวเนซุเอลา
ชาเวซเห็นว่าประเทศเสียเปรียบอย่างยิ่ง ต้องหาทางทำให้ประเทศเป็นอิสระ จึงต่อต้านสหรัฐ
วิพากษ์วิจารณ์อเมริกาอย่างเผ็ดร้อน (เขาเคยเรียกประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
ว่าเป็น "ปีศาจ" ในที่ประชุม UN) เขาสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับประเทศคิวบา
(สมัยฟิเดล คาสโตร) โบลิเวีย (สมัยเอโบ โมราเลส) และผู้นำฝ่ายซ้ายคนอื่นๆ
ในละตินอเมริกา (กลุ่ม Pink Tide) รวมถึงรัสเซียและอิหร่านที่เป็นปรปักษ์ต่อสหรัฐ
การรัฐประหาร 2002 (ที่ล้มเหลวอีกครั้ง):
ในปี
2002 ชาเวซเกือบถูกโค่นล้มโดยรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจและฝ่ายต่อต้าน
เขาถูกควบคุมตัว 47 ชั่วโมง แต่มวลชนผู้สนับสนุนชาเวซต่อต้าน
และกองทัพส่วนที่ยังภักดีได้กดดันจนเขากลับสู่อำนาจได้สำเร็จ
บรรดานักการเมือง อดีตพรรคการเมืองเก่า ชี้ว่ารัฐบาลชาเวซไม่เป็นประชาธิปไตย
จำต้องปฏิรูปการเมืองนำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตยใหม่อีกครั้ง
การเมืองเวเนซุเอลาจึงอยู่ในวังวงการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลเสรีนิยมที่ไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชน
กับการได้รัฐบาลประชานิยมที่ถูกตีตราว่าเป็นเผด็จการ
ชาเวซเสียชีวิตขณะยังดำรงตำแหน่งเมื่อมีนาคม
2013 โดยได้วางตัว นิโคลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) ให้เป็นผู้สืบทอด
---------------
1. Monteón, Michael. (2010). Latin
America and the Origins of Its Twenty-First Century. USA: ABC-CLIO, LLC.
2. Sherman,
John W. (2000). Latin America In Crisis. USA: Westview Press.
-----------------
.png)

