ข้อดีของการคว่ำบาตร
ประเทศทั้งหลายจะระมัดระวังไม่ถูกคว่ำบาตร
บางครั้งเพียงแค่คำขู่เท่านั้นก็อาจทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามเงื่อนไข
การคว่ำบาตรคือพลังอำนาจแข็ง (Hard Power) หรือ coercive
power คือความสามารถของประเทศหนึ่งที่ใช้อำนาจทางทหารและเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ
บังคับประเทศอื่นจนบรรลุเป้าหมาย เป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะมีข้อดีดังนี้
ประการแรก
ส่งสัญญาณไม่พอใจ
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีการสื่อสารอยู่เสมอทั้งทางตรงทางลับ
การคว่ำบาตรมักใช้เพื่อยกระดับคำเตือน แสดงให้เห็นชัดว่าไม่พอใจ เป็นบทลงโทษ
ยกตัวอย่าง ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐคว่ำบาตรญี่ปุ่น
เพื่อตอบโต้ที่ญี่ปุ่นขยายอิทธิพลและรุกรานประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะรุกรานจีนกับอินโดจีน
ตั้งใจกดดันให้ญี่ปุ่นยุติการกระทำดังกล่าว และเพื่อลดทอนแสนยานุภาพทางทหาร ด้วยการยกเลิกสนธิสัญญาการค้า
จำกัดส่งออกยุทธปัจจัย (พวกเหล็กกล้า น้ำมัน) และอายัดทรัพย์สินญี่ปุ่นในสหรัฐ
ชาติตะวันตกลดมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย หลังกลุ่ม Hay’et Tahrir
al-Shams (HTS) โค่นล้มรัฐบาลชุดก่อนเมื่อปลายปี 2024
รัฐบาลสหรัฐกับพวกใช้การคว่ำบาตรกดดันให้รัฐบาลซีเรียชุดใหม่ดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับตน
เตือนว่าจะโดนคว่ำบาตรหนักหากฝ่าฝืน
ตราบใดที่ปัญหายังอยู่ตราบนั้นจะคว่ำบาตรต่อไป
เช่น สหรัฐกับพวกคว่ำบาตรรัสเซีย บางกรณีคว่ำบาตรต่อเนื่องหลายทศวรรษ เช่น เกาหลีเหนือ
อิหร่าน
บางครั้งใช้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือต่อรอง
เช่น ขู่ตัดความช่วยเหลือและจะให้ความช่วยเหลือมากขึ้นถ้ายินยอมทำตาม ตามหลักให้รางวัลหรือลงโทษ
(Carrot and Stick Policy)
ประการที่ 2 ประเทศให้ความสำคัญ
ประเทศทั้งหลายให้ความสำคัญกับการติดต่อสัมพันธ์กับชาติอื่นๆ
การปิดประเทศไม่ติดต่อกับใครไม่ใช่นโยบายที่ดี
เพราะตัดโอกาสที่จะพัฒนาโดยอาศัยความรู้ความก้าวหน้าของผู้อื่น ตัดโอกาสเศรษฐกิจเติบโตจากการค้าระหว่างประเทศ
ได้รับประโยชน์จากสินค้าบริการมากมายทั่วโลก
ในมุมนี้การคว่ำบาตรจึงมีพลังอำนาจ
ประเทศทั้งหลายจะระมัดระวังไม่ถูกคว่ำบาตร
บางครั้งเพียงแค่คำขู่เท่านั้นก็อาจทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามเงื่อนไข
หรือผ่อนคลายความแข็งกร้าว
ประการที่ 3 หลีกเลี่ยงการปะทะด้วยอาวุธ
การใช้กำลังรบมักเป็นทางเลือกสุดท้าย
ดีที่สุดคือตกลงกันได้โดยไม่มีใครเสียเลือดเนื้อ
แต่เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเจรจาหรือตกลงกันไม่ได้
จึงใช้วิธีคว่ำบาตรก่อนถึงจุดใช้วิธีสุดท้าย
ยกตัวอย่าง สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
เป็นมาตรการที่อยู่ตรงกลางระหว่างการทูตเจรจากับการใช้กำลังทหาร กล่าวคือ
"เป็นเครื่องมือที่รุนแรงกว่าการประณาม แต่ไม่ถึงขั้นก่อสงคราม"
เพื่อกดดันให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หลักคิดคือการสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงพอ
ที่จะบีบให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศ
อำนาจในการคว่ำบาตรของ
UN มาจากกฎบัตรสหประชาชาติ หมวดที่ 7 (Chapter VII) ซึ่งให้อำนาจแก่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อจัดการภัยคุกคามต่อสันติภาพ
UNSC จะออกข้อมติและบางครั้งข้อมติจะระบุมาตรการคว่ำบาตร
ที่สมาชิกสมาชิกสหประชาชาติปฏิบัติตาม เช่น ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่
2397 (UNSC Resolution 2397) ควบคุมเกาหลีเหนือนำเข้าน้ำมันจากนานาชาติโดย
"จำกัดปริมาณอย่างเข้มงวด" การจำกัดน้ำมันคือกดดันเศรษฐกิจ
กองทัพขาดน้ำมันที่จำต้องใช้ในการรบ เพื่อตอบโต้การทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM)
ของเกาหลีเหนือ
ประการที่
4 เพื่อบั่นทอนบ่อนทำลาย
ในสมัยสงครามเย็น
รัฐบาลสหรัฐเลือกใช้การปิดล้อมเป็นยุทธศาสตร์บั่นทอนบ่อนทำลายสหภาพโซเวียต
การปิดล้อมนี้คือการคว่ำบาตรรุนแรงหรือ Embargoes ไม่ติดต่อค้าขาย
ปิดล้อมทางทหาร การทูตและอื่นๆ เป้าหมายสุดท้ายคือล้อมระบอบสังคมนิยม
ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครท
ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคำที่ดุดันแบบโดนัลด์ ทรัมป์หรือนิ่มนวลแบบบารัก โอบามา
นับจากสิ้นสงครามเย็นเป็นต้นมารัฐบาลสหรัฐใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
จะต่างกันเพียงวิธีการ ระดับความรุนแรง เหตุผลข้ออ้าง เช่น
โอบามาเน้นเล่นงานประเด็นมนุษยชน
ส่วนทรัมป์ชูประเด็นการค้าการลงทุนและการครอบงำทางเทคโนโลยี
ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า มีข้อสังเกตว่าสหรัฐปิดล้อมเศรษฐกิจจีนหนักขึ้นทุกที
ประการที่
5 ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
บางครั้งผู้คว่ำบาตรหวังได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
เป็นเป้าหมายสำคัญข้อหนึ่งนอกเหนือจากเป้าหมายอื่น
ยกตัวอย่าง
หลายปีแล้วรัฐบาลสหรัฐหวังให้อียูนำเข้าพลังงานอเมริกาแทนก๊าซรัสเซีย
ก่อนสงครามยูเครนให้เหตุผลว่าหากเยอรมนีหรืออียูนำเข้าก๊าซจากรัสเซียเท่ากับพึ่งพาเศรษฐกิจการเมืองกับรัสเซียมากขึ้น
อียูลังเลไม่อยากทำตามคำขอ เพราะต้นทุนก๊าซสหรัฐสูงกว่ามาก
แต่เมื่อกองทัพรัสเซียบุกยูเครน กลายเป็นความจำเป็นที่ต้องคว่ำบาตรรัสเซีย
หนึ่งในมาตรการหลักคือเลิกนำเข้าพลังงาน
และสหรัฐคือประเทศที่ได้ประโยชน์จากการนี้เต็มๆ
แม้ราคาพลังงานสหรัฐจะสูงกว่ามากก็ตาม
มีข้อมูลว่านับจากสหรัฐพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สามารถผลิต
shale gas จำนวนมหาศาลจนต้องหาทางส่งออก (LNG เป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งของ shale gas) แต่ติดปัญหาการขนส่งที่เป็นต้นทุนสำคัญ
จึงส่งออกไม่ได้
บัดนี้การคว่ำบาตรช่วยให้สหรัฐมีลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อใช้พลังงานฟอสซิลของตนแล้ว
กรณีนี้อาจตีความว่าเพื่อให้กองทัพรัสเซียถอนกำลังกลับไป
หรือเพื่อขายสินค้า หรือ 2 เรื่องพร้อมกัน เป็นประเด็นที่ถกแถลงได้
ตราบใดที่อียูมองว่ารัสเซียเป็นศัตรูย่อมต้องนำเข้าพลังงานจากสหรัฐต่อไป
ประการที่
6 ผลประโยชน์การเมืองระหว่างประเทศ
การคว่ำบาตรเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ
กดดันให้ประเทศทั้งหลายยอมทำตามข้อเรียกร้อง
บ่อยครั้งแค่คำขู่เท่านั้นอีกฝ่ายก็ยอมโดยดี
จึงเป็นเครื่องมือที่มักใช้เป็นลำดับต้นๆ เช่น ขู่จะคว่ำบาตรสินค้าบริการ
ควรเข้าใจว่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจหรือยึดหลักเศรษฐศาสตร์เท่านั้น
แต่มีมิติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
เปิดตลาดให้กันหรือจำกัดรายการสินค้าตามความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงภาษีตอบโต้ (reciprocal
tariff) ที่สหรัฐประกาศจัดเก็บนานาประเทศว่า
“ภาษีเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลง ขึ้นหรือลง ขึ้นกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน”
ทรัมป์ 2.0 ใช้กำแพงภาษีเพื่อนำประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาต่อรอง ในเรื่องอื่นๆ
ที่ไม่ใช่การค้าเศรษฐกิจ เช่น ให้ซื้ออาวุธสหรัฐมากขึ้น ให้ถอยห่างจากจีน รัสเซีย
ฯลฯ เป็นแนวทางเดียวกับไบเดน
ที่รวมการค้าระหว่างประเทศเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศจึงไม่ใช่การค้าเสรี ที่ยึดกลไกตลาดเสรีเท่านั้น
แต่สัมพันธ์โดยตรงกับการเมืองระหว่างประเทศ สงครามเย็นใหม่ การค้ากับสหรัฐในทรัมป์
2.0 เป็นการค้าทวิภาคีที่รัฐบาลสหรัฐต้องได้สิ่งที่ตนต้องการ
ถ้ายึดมุมมองสหรัฐ น่าชื่นชมรัฐบาลทรัมป์พยายามรักษาและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศตัวเอง ตามหลัก ‘America First’ ขึ้นภาษีนำเข้าหลายสิบประเทศทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนพูดถึงวาระซ่อนเร้นที่มากับกำแพงภาษี ผูกโยงการค้าขายของเอกชนเข้ากับการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กดดันให้นานาชาติช่วยกันต้านจีน โดดเดี่ยวรัสเซีย หรือแม้กระทั่งใช้กำแพงภาษีเพื่อบ่อนทำลายประเทศอื่นอย่างเช่นแคนาดา ไม่ว่านานาชาติจะเห็นด้วยหรือไม่ รัฐบาลทรัมป์พยายามทำเพื่อประเทศตนเอง
----------------
บรรณานุกรม :1. Ellis,
James O. (2011). The Impact of 9/11 on U.S. Foreign Policy. In The 9/11
encyclopedia. (2nd Ed. pp.1-4). USA: ABC-CLIO, LLC.
2. Huntington,
Samuel P. (1996/2011). The Clash of Civilizations and the Remaking of World
Order. New York: Simon & Schuste.
3. Legvold, Robert. (2016). Return to Cold
War. UK: Polity Press.
5. Trump announces
new tariffs of up to 40% on a growing number of countries. (2025, July 8). CNN.
Retrieved from
https://edition.cnn.com/2025/07/07/economy/trump-letters-tariffs
6.
Younger, Stephen M. (2008). The Bomb: A New History.
USA: HarperCollins Publishers.
-----------------
-----------------