สันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ

พวกโลกสวยมักคิดไร้เดียงสาว่าทุกประเทศต้องการสันติภาพ ความขัดแย้งใดๆ จัดการได้ด้วยการทูต องค์กรระหว่างประเทศ แต่ในโลกแห่งความจริงสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ

            วลี “Peace through strength” หรือ “สันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ” เป็นยุทธศาสตร์และปรัชญาการเมืองที่เชื่อว่า สันติภาพที่ยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศมีความเข้มแข็งทางทหารที่เหนือกว่า จนฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่อาจเป็นภัยคุกคามไม่กล้าใช้กำลังรุกราน เพราะเกรงผลที่จะตามมา

            แนวคิดนี้มีรากฐานย้อนถึงสมัยจักรวรรดิโรมัน ดังที่ปรากฏในภาษิตละติน “Si vis pacem, para bellum” ซึ่งหมายถึง “ถ้าท่านต้องการสันติภาพ ก็จงเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” เชื่อว่าการเตรียมพร้อมทางทหารอยู่เสมอคือหนทางดีที่สุดในการรักษาสันติภาพ

            หลักการนี้กลายเป็นการป้องปราม (Deterrence) กลไกสันติภาพ ด้วยการสร้างกองทัพ ตระเตรียมกำลังพล ซ้อมรบสม่ำเสมอ พร้อมตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องปรามการรุกรานจากศัตรู จนศัตรูไม่กล้าโจมตี

            โดยยึดว่าการมีกองทัพแข็งแกร่ง อาวุธล้ำสมัย ไม่ได้มีไว้เพื่อรุกรานใคร แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการตอบโต้อย่างรุนแรงหากถูกโจมตี จนศัตรูเห็นว่าต้นทุนของความรุนแรงนั้นสูงเกินกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ

            การป้องปรามเป็นแนวทางที่นานาชาติใช้ เพราะมีกองทัพเข้มแข็ง พร้อมทำให้ข้าศึกย่อยยับ ศัตรูจึงไม่กล้าทำสงคราม ในทางกลับกันหากกองทัพอ่อนแอ ไม่เป็นเอกภาพ ศัตรูย่อมคิดรุกราน

สหรัฐกับ Peace through strength:

            เมื่อพูดถึงสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ สหรัฐคือตัวอย่างที่โดดเด่น ยึดแนวทางนี้มานานแล้ว ที่เอ่ยถึงกันมากคือ สมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ใช้แนวคิดนี้ต่อกรสหภาพโซเวียต ด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลเสริมสร้างแสนยานุภาพ ทั้งอาวุธนิวเคลียร์กับกองกำลังตามแบบ (Conventional forces) เพื่อกดดันสหภาพโซเวียต การเสริมสร้างกองทัพเป็นปัจจัยสำคัญนำสู่การเจรจาลดอาวุธ และท้ายที่สุดคือการสิ้นสุดของสงครามเย็น

            ทุกวันนี้ "Peace through strength" ยังเป็นรากฐานนโยบายความมั่นคงของสหรัฐ โดยเฉพาะในพรรคริพับลิกัน รวมทั้งรัฐบาลโดลันด์ ทรัมป์ เน้นย้ำความจำเป็นต้องมีกองทัพแข็งแกร่ง สามารถเผชิญภัยคุกคามจากคู่แข่งทางยุทธศาสตร์อย่างจีนกับรัสเซีย

            ดังจะเห็นว่าตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา กองทัพสหรัฐเข้มแข็งที่สุดในโลก ปี 2024 งบกลาโหมสหรัฐเท่ากับ 886,000 ล้านดอลลาร์ เป็นงบกลาโหมที่สูงสุด ทั้งๆ ที่ประเทศมีปัญหาขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก ตั้งงบกลาโหมมากกว่าจีนเกือบ 4 เท่า งบกลาโหมจีนเท่ากับ 1.3% ของจีดีพี ส่วนสหรัฐเท่ากับ 3.5%

            ถ้าเจาะลึกลงไป ปี 2023 Quincy Institute for Responsible Statecraft ประเมินว่าสหรัฐมีฐานทัพต่างแดนกว่า 750 แห่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ต้องใช้งบประมาณกว่า 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และยังขยายฐานทัพต่อเนื่อง เช่นที่ฟิลิปปินส์

            วิเคราะห์: การสร้างกองทัพใหญ่โต มีฐานทัพต่างแดนมากมาย ยังสะท้อนความเป็นอภิมหาอำนาจโลก ผู้นำโลกเสรีที่ใช้พลังกองทัพควบคุมระบบโลก จะเห็นว่าสหรัฐมีส่วนร่วมสงครามใหญ่น้อย (ทั้งทางตรงทางอ้อม) ในแทบทุกภูมิภาคทั่วโลกอยู่เสมอ

            สหรัฐคือประเทศที่ยึดหลักสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพแบบขีดสุด ที่อาจมากเกินจำเป็นสำหรับประเทศทั่วไป เพราะเป็นมหาอำนาจและพยายามรักษาความเป็นมหาอำนาจ

ตัวอย่างสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ:

            พวกโลกสวยชี้ว่ากองทัพไม่สำคัญอีกแล้ว หรือมีศักยภาพแต่น้อยก็พอ ในส่วนนี้นำเสนอตัวอย่างโลกแห่งความจริงที่ไม่ไร้เดียงสา ดังนี้

          1. สงครามยูเครน

            การรบระหว่างยูเครนกับรัสเซียเป็นเรื่องที่นานาชาติจับตา เพราะไม่คิดว่ายูเครนจะทำสงครามกับมหาอำนาจทางทหารอย่างรัสเซีย แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิด

            เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่า ยูเครนเป็นสมรภูมิสงครามตัวแทนระหว่างรัสเซียกับฝ่ายสหรัฐ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์แม่บทสหรัฐ (Grand Strategy)

            รัฐบาลตะวันตกชี้ว่าสงครามยูเครนเกี่ยวข้องกับยุโรปโดยตรง เกี่ยวข้องกับการปกป้องเสรีประชาธิปไตยยุโรป ผู้นำปูตินจะไม่หยุดที่ยูเครนแต่จะรุกรานไปเรื่อยหวังยึดยุโรปทั้งหมด ด้วยเหตุผลข้ออ้างนี้นาโตจึงช่วยยูเครนรบรัสเซียเรื่อยมา

            ตั้งแต่เริ่มสงคราม (กุมภาพันธ์ 2022) นาโตให้เหตุผลชัดเจนว่าทหารนาโตจะไม่รบกับรัสเซียโดยตรง เพราะอาจนำสู่สงครามใหญ่ อีกทั้งไม่จำต้องส่งทหารช่วยยูเครนเพราะยูเครนไม่ใช่สมาชิกนาโต 2 ข้อนี้น่ารับฟังและสมเหตุผล ทำไมต้องให้ความเป็นไปของยูเครนนำสู่สงครามใหญ่ที่ประชาชนหลายประเทศอาจบาดเจ็บล้มตายหลายล้านคน (ระดับสงครามโลก) เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด

            ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐกับพวกจึงตีกรอบว่าจะไม่รบโดยตรงเด็ดขาด เพียงแค่ส่งความช่วยเหลือเสบียง กระสุน อาวุธแก่ยูเครนเท่านั้น ทุกวันนี้ที่ยูเครนยังรบได้เพราะอาวุธกับเสบียงจากรัฐบาลสหรัฐและพวก

            ไม่ว่าจะมองจากมุมยูเครนหรือรัสเซีย สงครามใหญ่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 นี้และส่อว่าจะเกิดอีกหลายที่ ใครคิดว่าจะไม่เกิดสงครามเป็นพวกโลกสวยไร้เดียงสา

          2. ข้อตกลงอับราฮัม

            ข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) เป็นข้อตกลงปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอล ประเทศที่ยอมรับข้อตกลงนี้เท่ากับยอมรับความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของอิสราเอล เป็นจุดเริ่มสู่ความสัมพันธ์การทูตระดับปกติ พวกรัฐอาหรับคือประเทศเป้าหมายที่อิสราเอลหวังให้ร่วมข้อตกลงนี้

            ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีแนวคิดข้อตกลงอับราฮัม ประเทศอาหรับบางประเทศร่วมข้อตกลงแล้ว เหตุที่ยอมรับข้อตกลงส่วนหนึ่งมาจากแรงผลักดันของรัฐบาลสหรัฐ (ที่สนับสนุนอิสราเอล) อีกส่วนหนึ่งถูกมองว่าเพราะกองทัพอิสราเอลน่าเกรงขาม ชาติอาหรับไม่สามารถต่อกรได้อีกแล้ว การทำสงครามมีแต่จะเสียมากกว่า จึงจำต้องยอมรับอิสราเอล

            การที่ชาติอาหรับที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลมาตลอด ชาติอาหรับกับอียิปต์เคยล้อมกรอบอิสราเอล เคยทำสงครามน้อยใหญ่หลายครั้ง พยายามต่อต้านอิสราเอลที่รุกรานปาเลสไตน์ มาบัดนี้ไม่กล้าทำสงครามอีก ความมั่นคงของอิสราเอลมาจากหลักสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ

            กองทัพอิสราเอลแข็งแกร่งจนเพื่อนบ้านไม่กล้ารบด้วย

          3. การป้องปรามนิวเคลียร์

            เมื่อพูดถึงนโยบายป้องปราม การป้องปรามนิวเคลียร์เป็นตัวอย่างที่มักเอ่ยถึง ป้องปรามไม่ให้อีกฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีหรือคุกคาม

            ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศคู่สงครามเร่งวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ ลงเอยด้วยการใช้นิวเคลียร์กับญี่ปุ่น 2 ลูก เมื่อเข้าสงครามเย็นทั้งสหรัฐกับสหภาพโซเวียตต่างเร่งสะสมอาวุธนี้ และเริ่มตระหนักว่าหากเกิดสงครามนิวเคลียร์จะวอดวายด้วยกันทั้งหมด ตั้งคำถามว่าประโยชน์ของอาวุธนิวเคลียร์คืออะไร ควรแข่งกันสะสมมากน้อยแค่ไหน

            ความกลัวหายนะกลายเป็นแรงต้านไม่คิดใช้อาวุธนี้ เป็นที่มาของการใช้นิวเคลียร์เพื่อป้องปรามโดยเฉพาะกับประเทศที่มีนิวเคลียร์ด้วยกัน สหรัฐขอเจรจากับโซเวียตเพื่อลดความตึงเครียด ลดหรือชะลอสร้างอาวุธนิวเคลียร์

            การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่มหาอำนาจจะไม่ทำสงครามโดยตรงต่อกัน เพราะเสี่ยงกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ หายนะด้วยกันทั้งคู่ (mutually assured destruction: MAD)

            นี่คือความเข้มแข็งของมหาอำนาจที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าปะทะโดยตรง

            อย่างไรก็ตาม “สันติภาพจะได้มาด้วยแสนยานุภาพ” มีข้อควรระวัง เช่น การแข่งขันทางอาวุธ (Arms Race) จนรุนแรงเกินไป คำนึงงบประมาณที่ต้องใช้ ไม่ยั่วยุจนบานปลาย ยึดเป้าหมายสุดท้ายคือสันติภาพที่เป็นจริง

            สันติภาพที่เป็นจริงไม่ได้มาเพราะความคิดแบบคนโลกสวย ที่คิดว่าทุกประเทศหวังอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยการเจรจา ไม่ต้องใช้กำลัง ความจริงแล้วถ้าเข้มแข็งมากพอจนฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าลงมือ สันติภาพจะมาเอง

24 สิงหาคม 2025
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใคอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 29 ฉบับที่ 10508 วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568)

--------------------

บรรณานุกรม :

1. China raises defense budget by 7.2% for 2024, 'conducive to peace, stability'. (2024, March 5). Global Times. Retrieved from https://www.globaltimes.cn/page/202403/1308188.shtml

2. Gray, Colin S. (2007). War Peace and International Relations: An introduction to strategic history. Oxon: Routledge.

3. How likely is the use of nuclear weapons by Russia? (2023, June 22). Chatham House. Retrieved from https://www.chathamhouse.org/2022/03/how-likely-use-nuclear-weapons-russia

4. Quester, George H. (2011). Deterrence. In The Encyclopedia of Political Science. (pp.414-415). DC: CQ Press.

5. US military bases: the lingering shadow over the world. (2023, July 14). China Daily. Retrieved from http://www.chinadaily.com.cn/a/202307/14/WS64b0b01da31035260b81670d.html

6. Younger, Stephen M. (2008). The Bomb: A New History. USA: HarperCollins Publishers.

-----------------