ทฤษฎีพึ่งพิง (Dependency theory) ในศตวรรษที่ 21
ทฤษฎีพึ่งพิงช่วยมองโลกผ่านเลนส์ตัวหนึ่ง แม้ไม่สมบูรณ์แต่ไม่ล้าสมัย ช่วยให้เห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทฤษฎีพึ่งพิง
(Dependency theory) ในระยะหลังไม่ค่อยเอ่ยถึงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เพราะตำรากับสื่อตะวันตกเน้นใช้แนวคิดอื่นมากกว่า เช่น โลกาภิวัตน์ แต่สาระของทฤษฎีพึ่งพิงแทรกอยู่ในหลายแนวคิด
การวิเคราะห์ต่างๆ
ทฤษฎีพึ่งพิง:
ทฤษฎีพึ่งพิงเป็นแนวคิดอธิบายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับการเมืองที่ไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา
ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากโครงสร้างโลกที่ตั้งใจสร้างเพื่อประโยชน์ของบางประเทศ
ทฤษฎีพึ่งพิงมองว่าระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่ภายใต้โครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศพัฒนาแล้ว
(บางตำราใช้คำว่าพวกตะวันตกหรือประเทศแกนกลาง) และทำให้ประเทศกำลังพัฒนา
(บางตำราใช้คำว่าประเทศที่ถูกขูดรีด ประเทศชายขอบ) ตกอยู่ในภาวะพึ่งพิง ถูกเอารัดเอาเปรียบ
นักวิชาการสายนี้อธิบายว่า
ความยากจนของกลุ่มประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา
เกิดจากการขูดรีดของประเทศนายทุนใหญ่
เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่ประเทศนายทุนใหญ่หรือประเทศที่พัฒนาแล้วผลิตสินค้าที่ขายในราคาสูง
แลกกับสินค้าราคาถูกของประเทศกำลังพัฒนา เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจแบบพึ่งพา
ไม่เท่าเทียมกัน
เรื่องนี้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อารยธรรมที่รุ่งเรืองมาจากการรวบรวมความมั่งคั่งของอาณาจักรอื่นๆ
ที่ด้อยกว่า
ความมั่งคั่งที่กอบโกยช่วยให้มหาอำนาจมีทรัพยกรสำหรับการพัฒนาประเทศมากขึ้น
ทั้งด้านเศรษฐกิจ อาวุธ สร้างกองทัพขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครสู้ได้
ความยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจจึงเป็นผลมาจากการที่พวกเขาได้เปรียบ
และแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากร แรงงาน และตลาดของประเทศกำลังพัฒนา ผลคือประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถพัฒนาเต็มศักยภาพ
หรือถูกกดทับ ในขณะที่ชาติมหาอำนาจสามารถรักษาความยิ่งใหญ่ของตน หรือสร้างให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ความสัมพันธ์พึ่งพิงหลายด้าน:
ที่ร้ายกว่านั้นคือ เกิดความสัมพันธ์พึ่งพิงหลายด้าน
บางกรณีอาจพูดว่าการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจเป็นจุดเริ่ม
เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ บนฐานคำว่า “เพื่อช่วยพัฒนาประเทศ”
แต่ความจริงแล้วลึกซึ้งกว่านั้นมาก ลักษณะหนึ่งที่เห็นชัดคือประเทศผู้ถูกกดขี่พึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าเกษตรไปยังมหาอำนาจกับพวก
และพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว
สงครามเย็นเป็นตัวอย่างการพึ่งพิงหลายด้าน
ด้วยเหตุผลช่วยต่อต้านคอมมิวนิสต์
รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาหลายอย่าง
ด้วยหวังว่าจะชี้นำเศรษฐกิจของพวกเขา รวมถึงการเมือง การศึกษา ค่านิยม วัฒนธรรม ประเทศเหล่านี้จึงดำเนินนโยบาย
“พัฒนาแบบตะวันตก”
หนึ่งในหลักการที่ชาติตะวันตกใช้คือหลักแบ่งงานการทำ
ทุกประเทศผลิตในสิ่งที่ตนถนัด มีประสิทธิภาพ และนำเข้าสินค้าอื่นๆ
ที่ตนไม่ได้ผลิตจากประเทศอื่น พวกตะวันตกชี้ว่าภายใต้หลักการดังกล่าว
ทุกประเทศจะผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วโลกได้บริโภคอย่างเต็มที่
แต่ภายใต้หลักดังกล่าว
ประเทศกำลังพัฒนาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากผลิตสินค้าเกษตร
ส่งออกสินแร่ในราคาถูก ในขณะที่ต้องนำเข้าเทคโนโลยี เครื่องจักร
สินค้าอุตสาหกรรมในราคาแพงกว่าหลายเท่า จึงเกิดภาวะขายถูก-ซื้อแพง
เกิดปัญหาด้านงบประมาณ
เป็นที่มาของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ (economic inequalities) ที่ขยายตัวถ่างออกมากขึ้น เหมือนคนรวยกับคนจนที่ต่างกันมากขึ้นทุกที
บางประเทศจึงปรับเปลี่ยนนโยบาย
ใช้หลัก “ทดแทนการนำเข้า” (import-substitution) คือส่งเสริมอุตสาหกรรม
ผลิตสินค้าบางอย่างที่จำเป็น ลดการนำเข้า พร้อมๆ
กับที่ไม่มุ่งผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น
อีกลักษณะที่เห็นชัดคือประเทศผู้ถูกกดขี่ต้องพึ่งพาเงินกู้และการลงทุนจากมหาอำนาจกับพวก
ซึ่งมักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์เจ้าหนี้ รัฐบาลผู้รับเงินกู้ต้องคอยปกปิด
กลบเกลื่อนประชาชนตัวเองไม่ให้รู้ว่าประเทศเสียอะไรไปบ้าง
เพื่อแลกกับข้อตกลงที่เสียเปรียบ ด้วยเหตุผลข้อตกลงเป็นเอกสารลับราชการ
และคนที่รู้ไม่กล้าเปิดเผย (เพราะผิดกฎหมาย) ประชาชนจึงไม่รู้ว่าข้อตกลงที่เสียเปรียบเป็นอย่างไร
เป็นเช่นนี้ร่ำไป
การครอบงำที่ร้ายแรงสุดคือ
การพึ่งพิงทางวัฒนธรรม/อุดมการณ์ ประเทศโลกที่ 3 (กำลังพัฒนา) มักรับวัฒนธรรมและแนวคิดการเมืองการปกครองจากมหาอำนาจ
ประเทศผู้เป็นมหาอำนาจพยายามชี้ว่าอุดมการณ์การเมืองเศรษฐกิจของตนดีที่สุด
(โดยไม่พูดว่าที่ตนเจริญนั้นมาจากการกอบโกยผลประโยชน์ต่างแดน)
พวกมหาอำนาจจะพยายามให้เลือกข้าง
เป้าหมายคือให้เลือกอยู่ฝ่ายตน ซึ่งหมายถึงต้องพึ่งพิงมหาอำนาจฝ่ายนั้นนั่นเอง ถูกใช้ประโยชน์
แม้กระทั่งต้องเข้าสู่สงครามตัวแทน ทำสงครามที่ไม่ได้ก่อ
แต่มหาอำนาจผลักให้เข้าสู่สงคราม ประเทศกลายเป็นสนามรบ ยิ่งรบยิ่งพัง
ดังนั้น
แม้มหาอำนาจจะบอกว่าเคารพอธิปไตย เสรีภาพการตัดสินใจของประเทศอื่น
ความจริงแล้วพยายามกดดันให้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา รับค่านิยมวัฒนธรรมของเขา
ไม่สนใจว่าบริบทประเทศโลกที่ 3 นั้นพร้อมรับหรือไม่ ต้องรับนโยบาย ทำตามคำสั่ง แรงกดดัน
ความร่วมมือของชนชั้นนำ:
มหาอำนาจตระหนักว่าการใช้กำลังทหารไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป
ทางที่ดีกว่าคือให้อีกฝ่ายมีรัฐบาลที่เป็นพวกเดียวกันตน จึงสนับสนุนผู้นำประเทศ
นักการเมือง พรรคการเมืองที่ตอบสนองผลประโยชน์ของมหาอำนาจ
ดังจะเห็นว่าบางประเทศที่มีการเลือกตั้ง เมื่อได้รัฐบาลหนึ่งจะอยู่ฝ่ายมหาอำนาจขั้วหนึ่ง
เมื่อเลือกตั้งอีกครั้งได้รัฐบาลอีกขั้วก็จะเป็นมิตรกับมหาอำนาจอีกฝ่าย
เป็นเช่นนี้สลับไปมา
หรือหากประเทศฝ่ายตรงข้ามมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่เข้มแข็ง
จะใช้วิธีกัดเซาะบ่อนทำลาย
ดังมีข่าวว่ามหาอำนาจมักคิดล้มล้างรัฐบาลหรือระบอบฝ่ายตรงข้าม
ยุทธศาสตร์นี้จะวางแผนและดำเนินการต่อเนื่องหลายปี บางกรณีหลายทศวรรษ
ไม่ใช่การพึ่งพิงโดยสมบูรณ์:
ทฤษฎีพึ่งพิงเป็นแนวการมองโลกแบบหนึ่ง
ความเป็นไปในโลกไม่เป็นเช่นนี้เสมอไป มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
บางครั้งเป็นความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ประเทศผู้ถูกดขี่พยายามเอาตัวรอด
ติดต่อสัมพันธ์หลายมหาอำนาจ เพื่อทำให้เกิดการถ่วงดุล
อีกทั้งประเทศจะพัฒนาหรือไม่ ประชาชนจะอยู่ดีมีสุขหรือไม่
ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ อีกมากนอกเหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การพึ่งพิงช่วยให้ประเทศเติบโตพัฒนาขึ้น ประชาชนอยู่ดีมีสุขมากขึ้น
โดยนัยนี้การพึ่งพิงได้ประโยชน์เช่นกัน เพียงแต่ได้น้อยกว่า
อนาคตประเทศอยู่ใต้การกำกับหรือแรงกดดันของรัฐบาลต่างชาติ
ไม่สามารถเป็นประเทศที่มีอธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นเบี้ยล่างอยู่เสมอ
ในศตวรรษที่
21 ไม่ค่อยเอ่ยถึงทฤษฎีพึ่งพิง เพราะมีแนวคิดอื่นที่เด่นกล่าว ตั้งแต่โลกไร้พรมแดน
โลกาภิวัตน์ รัฐบาลทรัมป์กำลังวางระบบใหม่ตาม "Mar-a-Lago
Accord" ด้าน BRICS กำลังสร้างระบบพหุภาคีใหม่ที่เท่าเทียมกว่าเดิม
ถึงกระนั้นทฤษฎีพึ่งพิงยังทำหน้าที่ช่วยมองโลกผ่านเลนส์ตัวหนึ่ง
แม้ไม่สมบูรณ์แต่ไม่ล้าสมัย ช่วยให้เห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ที่ประชาชนบางส่วนยังไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าถึงข้อมูลเอกสารลับต่างๆ
รัฐบาลที่พยายามปกปิด กลบเกลื่อนความจริง และความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศ
------------------
บรรณานุกรม:
Kegley, Charles W., Blanton, Shannon L. (2011). World Politics: Trend and Transformation, (2010-2011 Ed.). MA: Wadsworth Publishing.