ป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน

ประเด็นที่ถกเถียงเรื่อยมาคือ ต้องรอให้คนของเราบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมากก่อนหรือ จึงจะโจมตีโต้กลับ กับบางประเทศใช้หลักป้องกันตัวเองเป็นข้ออ้างเพื่อรุกรานคนอื่น

            ถ้ามีผู้หนึ่งแสดงท่าทีอาฆาตมาดร้าย ถืออาวุธเดินตรงเข้ามาทำท่าจะทำร้าย เราสามารถยิงผู้นี้ก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

            ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีเหตุที่ประเทศสามารถป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน เรื่องนี้ใช้หลักการ 2 ข้อ คือ การป้องกันตัวเองกับการชิงโจมตีก่อน

            การโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตัวเองมีมากนานแล้ว ในทางวิชาการยึดหลักการที่ได้จาก Caroline Case เมื่อ ค.ศ. 1837 สามารถใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อดังนี้

            1) ความจำเป็น (Necessity) มีความจำเป็นอย่างท่วมท้นและไม่มีทางเลือกอื่น

            2) ความทันที (Instant) ต้องกระทำอย่างทันท่วงที ไม่มีเวลาให้พิจารณา ต้องรีบลงมือ

            3) ความได้สัดส่วน (Proportionality) การใช้กำลังต้องได้สัดส่วนกับภัยคุกคามที่เผชิญอยู่ ไม่ใช้กำลังมากเกินความจำเป็น

มาตรา 51 การตีความที่แตกต่าง:

            ภายใต้มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ รัฐสมาชิกมีสิทธิป้องกันตนเอง

            มาตรา 51 บัญญัติว่า “ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรนี้จะรอนสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเองโดยลำพัง หรือโดยร่วมกัน หากการโจมตีด้วยกำลังอาวุธบังเกิดแก่สมาชิกของสหประชาชาติ จนกว่าคณะ มนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศมาตรการที่สมาชิกได้ดำเนินไปในการใช้สิทธิป้องกันตนเองนี้จะต้องรายงานให้คณะมนตรี ความมั่นคงทราบโดยทันที และจะต้องไม่กระทบกระเทือนอำนาจและความรับผิดชอบของคณะ มนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันแต่ประการใด ในอันที่จะดำเนินการเช่นที่เห็นจำเป็นไม่ว่าในเวลาใด เพื่อธำรงไว้หรือสถาปนากลับคืนมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”

            มาตรา 51 ระบุว่า รัฐสมาชิกสามารถใช้กำลังป้องกันตัวเองเมื่อโดนโจมตีแล้วเท่านั้น แต่ในโลกแห่งความจริงบางครั้งรอให้โดนโจมตีก่อนไม่ได้ เป็นประเด็นถกเถียงใน 2 มุมมอง

            1) มุมมองที่เคร่งครัด (Strict Interpretation)

            มุมมองนี้ชี้ว่ามาตรา 51 ระบุชัดว่าต้องมีการโจมตีเกิดขึ้นจริงแล้วเท่านั้น จึงจะใช้สิทธิป้องกันตนเองได้
            2) มุมมองที่ยืดหยุ่น (Liberal Interpretation)

            บางคนแย้งว่าในโลกยุคใหม่ที่ภัยคุกคามรวดเร็วและรุนแรง เช่น อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (weapons of mass destruction: WMD) เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ การโจมตีทางไซเบอร์ การรอให้ถูกโจมตีก่อนอาจสายเกินไป จึงควรอ้างสิทธิป้องกันตนเองได้หากมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าภัยคุกคามนั้น "ใกล้จะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง"

            ต้องรอให้คนของเราบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมากก่อนหรือ จึงจะโจมตีโต้กลับได้

การป้องกันตัวเองล่วงหน้า:

            การป้องกันตัวเองล่วงหน้า เป็นประเด็นย่อยของการป้องกันตัวเอง

            การป้องกันตนเองล่วงหน้า (Anticipatory Self-Defense) คือ การที่รัฐใช้กำลังทหารโจมตีฝ่ายตรงข้ามก่อนฝ่ายเราถูกโจมตีจริง โดยชี้ว่ามีภัยคุกคามที่ "ใกล้จะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง" (imminent threat) และจำเป็นต้องชิงโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตนเอง

            กรณีตัวอย่างที่ใช้กันมากคือ ไม่สามารถปล่อยให้ข้าศึกใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอื่นๆ (WMD) เช่น อาวุธเคมี ชีวภาพ เพราะอานุภาพทำลายร้ายแรง พลเรือนจำนวนมากเสี่ยงถูกทำร้าย

            เรื่องการป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน ยิ่งลงรายละเอียดยิ่งมีประเด็นถกเถียง จากกฎเกณฑ์กับสถานการณ์ที่ขัดกัน และยังหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้ ไม่ว่ากติกาเป็นอย่างไร ศตวรรษที่ 21 ยังใช้หลักการเหล่านี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นสะท้อนความเป็นไปของโลกนี้ หลักการกับภาคปฏิบัติ

ตัวอย่างการป้องกันตนเองล่วงหน้า:

            บทความนี้ยก 2 ตัวอย่าง คือ การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านกับ WMD ของซัดดัม

          ประการแรก การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน

            มิถุนายน 2025 อิสราเอลกับสหรัฐร่วมกันใช้กำลังทางอากาศโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าต้องการขจัดภัยนิวเคลียร์นี้อย่างราบคาบ

            ด้านรัฐบาลอิหร่านประกาศซ้ำหลายครั้งว่าใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติเท่านั้น ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ใช้นิวเคลียร์ในทางสันติ เช่น ใช้ในทางการแพทย์ การถนอมอาหาร ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้า อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี ประกาศฟัตวา (fatwa) ซ้ำหลายครั้งว่าการผลิต การเก็บและการใช้อาวุธนิวเคลียร์นั้นเป็นที่ต้องห้ามภายใต้ศาสนาอิสลาม อิหร่านจึงไม่มีและไม่คิดจะมีอาวุธนิวเคลียร์

            ประธานาธิบดีปูตินกล่าวสนับสนุนอิหร่านว่า IAEA “ไม่พบหลักฐานชี้ว่าอิหร่านมีหรือกำลังผลิตอาวุธนิวเคลียร์” และมีสิทธิ์ใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติ

            ทุกวันนี้ทั้งรัฐบาลสหรัฐกับอิสราเอลต่างยอมรับว่าอิหร่านยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ข้อสรุปเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าอิหร่านไม่เป็นภัยคุกคาม เพราะเจ้าหน้าที่สหรัฐชี้ว่าอิหร่านสามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ในไม่กี่สัปดาห์ บ้างวิเคราะห์ว่าสามารถผลิตนิวเคลียร์ถึง 5 ลูก ไม่ว่าเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ข้อมูลจากสหรัฐระบุเช่นนั้น ที่สำคัญคือการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐจะยึดข้อมูลของตัวเอง บางครั้งขัดกับข้อมูลของนานาชาติ แต่รัฐบาลสหรัฐไม่สนใจ

            รวมความแล้วรัฐบาลอิสราเอลกับสหรัฐเห็นว่าโครงการนิวเคลียร์อิหร่านเป็นภัยคุกคาม (แม้ยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์) จึงชิงโจมตีก่อน ทำลายโครงการนิวเคลียร์อิหร่านหลายจุด

          ประการที่ 2 WMD ของซัดดัม

            รัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ใช้หลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” เพื่อเปิดฉากทำสงครามกับอิรัก อ้างว่ารัฐบาลซัดดัม ฮุสเซนสั่งสม WMD จำนวนมาก และมีประวัติใช้ WMD กับประชาชนตนเอง (ข้อหลังนี้เป็นความจริง รัฐบาลซัดดัมใช้อาวุธเคมีสังหารคนอิรักจำนวนมาก) ฝ่ายข่าวกรองสหรัฐอ้างว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ และอาจส่งมอบอาวุธนี้แก่ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐ จึงเห็นว่าเป็นภัยคุกคามที่จวนตัว

            ก่อนที่รัฐบาลบุชจะส่งกองทัพบุกอิรัก ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการโจมตีต่างประเทศก่อน บางคนเกรงว่าจะยิ่งเป็นเหตุให้ประเทศตกเป็นเป้าก่อการร้าย พันธมิตรหลายประเทศไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ไม่อาจทัดทานการตัดสินใจของรัฐบาลบุช

            หลังสงครามสิ้นสุด ระบอบซัดดัมล่มสลาย กระแสต่อต้านรัฐบาลสหรัฐพุ่งถึงขีดสุดเมื่อรัฐบาลบุชไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามี WMD ในอิรัก ขัดแย้งกับหลักนิยมชิงโจมตีก่อนที่ยึดเกณฑ์ “ภัยคุกคามจวนตัวนั้นมีจริง”

            จะเห็นว่าการป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อนบางครั้งเป็นข้ออ้างเพื่อรุกราน แต่ในโลกแห่งความจริงก็เป็นเช่นนี้ หลักการที่ดีไม่ใช่หลักการที่สมบูรณ์ตามอุดมคติ บางครั้งถูกใช้อย่างบิดเบือนและไม่มีใครห้ามได้ โลกเป็นเช่นนี้

            หากจะกระทำอย่างชอบธรรมจำต้องรับฟังความเห็นของนานาชาติก่อน กระทำอย่างเปิดเผย ดำเนินการเป็นขั้นตอน ยึดกติกาสากล วิธีนี้ช่วยให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมโลก

            ในระบบโลกอนาธิปไตย รัฐทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงมากที่สุด โดยอาศัยอำนาจเป็นเครื่องมือ จึงจำต้องสร้างสมกำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศ เพิ่มขยายอำนาจต่างๆ ที่จะส่งเสริมอำนาจรัฐ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม เกียรติภูมิของชาติ ฯลฯ เพื่อความอยู่รอดของตน

            การอยู่รอดรวมถึงการรุกรานประเทศอื่น ด้วยความเชื่อว่าวิธีการอยู่รอดที่ดีที่สุด คือการขยายอำนาจประเทศของตนให้มากที่สุด รวมถึงการบั่นทอนทำลายต่างชาติ

            รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ตั้งอยู่บนหลักคิด “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) หมายถึงการบริหารประเทศที่ถือผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นที่ตั้ง แม้จะขัดแย้งประเทศอื่น ขัดแย้งศีลธรรมคุณธรรม ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลทุกประเทศเป็นเช่นนี้ ที่ต้องบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตน และรัฐบาลทรัมป์ทำจริงตามที่พูด มีหลักฐานมากมายปรากฎเป็นที่ประจักษ์

            การป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน เป็นรูปธรรมหนึ่งของการใช้ทฤษฎีสัจนิยม

17 สิงหาคม 2025
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 29 ฉบับที่ 10501 วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568)

-------------

บรรณานุกรม :

1. Cook, Jonathan. (2008). Israel and the Clash of Civilisations: Iraq, Iran and the Plan to Remake the Middle East. USA: Pluto Press.

2. FULL TEXT: President Donald Trump's Inauguration Speech. (2017, January 20). ABC News. Retrieved from http://abcnews.go.com/Politics/full-text-president-donald-trumps-inauguration-speech/story?id=44915821

3. Magstadt, Thomas M. (2009). Understanding Politics (8th Ed.). CA: Wadsworth/Cengage Learning.

4. Russian President's Latest Statements on Ukraine and Iran-Israel Conflict. (2025, June 21). Sputnik Globe. Retrieved from https://sputnikglobe.com/20250621/russian-presidents-latest-statements-on-ukraine-and-iran-israel-conflict-1122307957.html

5. Trump Calls for Iran to ‘Surrender’ as He Weighs Military Action. (2025, June 17). WSJ. Retrieved from https://www.wsj.com/world/middle-east/trump-calls-for-unconditional-surrender-as-he-loses-patience-with-iran-773cb20d

-----------------