ประชากรกับพลังอำนาจรัฐ
ประชากรเป็นได้ทั้งผลดีผลเสียต่อรัฐ คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุด และสามารถสร้างปัญหาแก่รัฐได้มากที่สุดเช่นกัน
ในรัฐศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประชากร (Population) เป็นองค์ประกอบหนึ่งของอำนาจรัฐ
(State Power) ประชากรมีบทบาทสำคัญทุกมิติ ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ
สังคม การทหาร ความรุ่งเรืองและความมั่นคงของประเทศขึ้นกับองค์ประกอบดังกล่าว โดยพิจารณาดังนี้
ประการแรก
กำลังแรงงาน
ประชากรเป็นแหล่งกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หรือบริการ
ขนาดและคุณภาพแรงงานส่งผลโดยตรงต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
ประเด็นจำนวนประชากรมีความสำคัญ เป็นได้ทั้งข้อดีกับข้อเสีย
ประชากรมากคือมีแรงงานมาก
สามารถสร้างกองทัพใหญ่ ข้อเสียคือเป็นงานหนักที่รัฐบาลต้องดูแล ครอบครัวกับรัฐบาลอาจดูแลไม่ทั่วถึง
บางประเทศถึงกับขาดแคลนอาหาร รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการดูแลประชาชน
ในอีกฝาก
ประชากรน้อยเป็นปัจจัยลบต่อการขยายอำนาจ หลายประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ มีปัญหาประชากรน้อยเกินไปและส่อว่าจะลดลง
เพราะหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่นิยมมีลูก แม้รัฐบาลส่งเสริมการมีบุตร
บางประเทศคนวัยแรงงานไปหางานต่างแดน
แรงงานภายในประเทศลดลง บางครั้งเป็นผู้มีความรู้มีการศึกษา
มักเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เศรษฐกิจอ่อนแอ อัตราว่างงานสูง
พวกวัยแรงงานจึงหวังทำงานต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
โลกาภิวัตน์มีส่วนสนับสนุนการอพยพย้ายถิ่น
การเคลื่อนย้ายแรงงาน เนื่องจากข้อมูลเชื่อมโยงกันโดยง่ายและทั่วถึง
การเดินทางสะดวกรวดเร็ว อัตราค่าแรงแต่ละประเทศที่แตกต่าง
เหล่านี้เป็นเหตุให้แรงงานเคลื่อนย้าย
ประเทศที่คนวัยแรงงานไปทำงานต่างแดน
มักมีปัญหาภายในประเทศไม่เฉพาะเศรษฐกิจเท่านั้น มักเป็นผลพวงจากเรื่องอื่นๆ
เช่น รัฐบาลอ่อนแอ คอร์รัปชันสูง ความไม่สงบในประเทศ สงคราม
ล้วนกระตุ้นให้คนอพยพออกนอกประเทศ
ในหลายประเทศ
รัฐบาลพยายามสกัดกั้นไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย
เนื่องจากจำนวนมากเกินไป เป็นปัญหาสังคม เช่น
คนแอฟริกากับตะวันออกกลางพยายามเข้ายุโรป
รัฐบาลสหรัฐผลักดันแรงงานต่างด้าวออกนอกประเทศ
ช่วงอายุ
(Age Distribution) เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา
ปัจจุบันบางประเทศก้าวสู่สังคมสูงวัย ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ วัยที่ต้องการคือวัยทำงานอายุ
15-64 ปีตามมาตรฐานนานาชาติ
ประเทศที่มีเด็กหรือคนวัยชราจำนวนมาก
เป็นภาระที่รัฐต้องดูแล คนวัยทำงานที่ต้องแบกรับภาระภาษี เช่น ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวีย
ประเทศพัฒนาแล้วมักเผชิญปัญหาขาดแรงงานคนรุ่นใหม่
ประเทศมหาอำนาจจำต้องมีแรงงานคุณภาพมากพอ
สหรัฐมีประชากรราว
340 ล้านคน (2025) ส่วนจีนมี 1,400 ล้านคน มากพอต่อการเป็นมหาอำนาจ ส่วนสิงคโปร์มีประชากร
6 ล้านคนยากจะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจ เนื่องจากข้อจำกัดกำลังคนสำหรับกองทัพขนาดใหญ่ ตลาดภายในที่ไม่ใหญ่พอ
อย่างไรก็ตาม
เทคโนโลยี AI
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการผลิต
(Productivit and Efficiency) น่าติดตามว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะมีผลต่อปัจจัยประชากรอย่างไร
อนาคตมหาอำนาจทางทหารอาจมีกองทัพใหญ่ที่เป็นหุ่นยนต์ โดรนสารพัดชนิด
ประการที่
2 สุขภาพกับการศึกษา
ชาติต้องการประชากรที่มีความรู้ความสามารถและสุขภาพแข็งแรง
คุณภาพการศึกษาไม่อาจวัดง่ายๆ
จากจำนวนประชากรที่รู้หนังสือหรือจบปริญญา
เพราะมีระดับคุณภาพแตกต่างกันในแต่ประเทศ การศึกษาที่ต้องการคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เสริมศักยภาพตลอดเวลา ทันยุคทันสมัย ดึงศักยภาพคนออกมามากที่สุด
ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด
ปัจจุบันสามารถเรียนรู้ตัวเองและมีประสิทธิภาพ
มีเกียรติบัตรรับรองการศึกษาด้วยตนเอง
การศึกษายังรวมถึงการที่ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ ทั้งภายในกับภายนอกประเทศ
มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างถูกต้อง
ส่งเสริมให้มีรัฐบาลเข้มแข็ง ทำประโยชน์แก่ประชาชน
ในด้านสุขภาพ
ประชากรที่มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมมีพละกำลังและกระตือรือร้นในการทำงาน
ผลิตภาพแรงงานสูง เศรษฐกิจเติบโตและสามารถแข่งขัน
กองทัพต้องการกำลังพลที่สุขภาพแข็งแรง
มีความพร้อมร่างกายและจิตใจ
อบายมุข
ยาเสพติดบั่นทอนพลังอำนาจรัฐ ทำลายรากฐานรัฐในหลายมิติ ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงศักยภาพประเทศในการแข่งขัน
และมีอิทธิพลบนเวทีโลก
ประการที่
3 ขวัญกำลังใจ
ถ้าประชาชนมีขวัญกำลังใจ
(Morale) เชื่อมั่นรัฐบาลและทิศทางบริหารประเทศ
จะเกิดความสามัคคีปรองดอง และพร้อมให้ความร่วมมือนโยบายต่างๆ
ไม่ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ การรักษาความสงบเรียบร้อย หรือการเผชิญกับภัยคุกคาม
ในยามวิกฤต
เช่น ภัยพิบัติ สงคราม หรือโรคระบาด ขวัญกำลังใจประชาชนสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนพร้อมใจเสียสละเพื่อส่วนรวม
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ร่วมเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหา
ทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองมีกำลังใจสูงมาก
เช่นเดียวกับพวกเวียดกงในสงครามอินโดจีน
ตรงข้ามกับทหารอเมริกันในสงครามเวียดนามที่ไม่มีใจจะสู้รบ
ขวัญกำลังใจที่สำคัญคือขวัญกำลังใจในภาวะปกติ
ถ้ามีกำลังใจดีจะช่วยให้ประชาชนกระตือรือร้นในการทำงาน การศึกษา และการพัฒนาตนเอง
เป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตยั่งยืน
ความสามารถในการหล่อหลอมคนทั้งประเทศเข้าด้วยกัน
เป็นอีกประเด็นที่ทำให้มีพลังอำนาจ สหรัฐเป็นชาติที่รับคนต่างชาติเป็นพลเมือง
สามารถหล่อหลอมคนเหล่านี้ที่หลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม พลเมืองคุณภาพเป็นพลังอำนาจของประเทศ
ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ญี่ปุ่นมีอคติทางชาติพันธุ์ (Ethnocentrism) สูงมาก สังคมไม่ค่อยยอมรับคนต่างเชื้อชาติ จึงขวางความก้าวหน้า
ประการที่ 4 สนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล
บางคนชี้ว่าสหรัฐแพ้สงครามเวียดนามเพราะคนอเมริกันไม่ต้องการให้ลูกหลานไปรบ
ในประเทศที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
ประเทศที่ประชาชนต่อต้านรัฐบาลรุนแรง ย่อมอ่อนแอ รัฐบาลอาจล้มในที่สุด
และหากประชาชนแตกแยกเป็นหลายฝ่าย อาจกลายเป็นรัฐล้มเหลว กระทั่งอาจนำสู่การแบ่งแยกประเทศออกเป็นส่วนๆ
สูญสิ้นความเป็นรัฐเดิม
Hans Morgenthau ชี้ว่า “ความคิดของประชาชนส่วนใหญ่มักต้องการผลลัพธ์เร็ว
ยอมสละผลประโยชน์ของวันพรุ่งนี้เพื่อประโยชน์ที่เห็นได้ในวันนี้”
ประชาชนมักเห็นแก่สิบเบี้ยใกล้มือ
แม้ต้องทิ้งผลประโยชน์แท้ในอนาคต ต่างจากผู้นำรัฐที่มักเป็นผู้มองการณ์ไกล
อดทนดำเนินการอย่างช้าๆ ยอมสละสิ่งเล็กเพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า
เป็นคนเยือกเย็นและประนีประนอม
การสนับสนุนจากประชาชนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
เพราะหากประชาชนไม่เห็นด้วยแล้ว การดำเนินนโยบายย่อมลำบากและอาจล้มเหลว
การสร้างอำนาจรัฐไม่ว่าจะในทางใดย่อมไร้ประสิทธิภาพ
สำคัญยิ่งที่รัฐบาลต้องได้ใจประชาชน
บางกรณี นักการเมือง ผู้บริหารประเทศฉ้อฉล ไม่ยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง
เช่นนี้นำสู่ปัญหาเช่นกัน หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหานี้
ตลอดประวัติศาสตร์โลก หลายอาณาจักร
หลายรัฐต้องล่มสลายเพราะประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ หรือเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลเสียเอง
ทุกวันนี้ยังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เสมอ
โดยรวมแล้ว
ประชากรเป็นได้ทั้งผลดีผลเสียต่อรัฐ คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุด
และสามารถสร้างปัญหาแก่รัฐได้มากที่สุดเช่นกัน
1. Brown, Chris. (2005). Understanding
International Relations (3 Ed.). (New York: Palgrave Macmillan).
2. Domhoff, G. William. (2006). Who Rules
America? Power, Politics and Social Change, 5th ed. (NY: McGrawHillm).
3. Morgenthau, Hans J.
(1973). Politics among Nations: the Struggle for Power and Peace, 5th
edition. (India: Scientific Book Agency).
4. Rourke, John T., Boyer. Mark A. (2002). World
Politics: International Politics on the world stage, brief 4th Ed. (USA:
McGraw-Hill/Dushkin).