สัจนิยมมีข้อดีหลายอย่างแต่เปิดช่องให้รัฐบาลบางประเทศตีความว่าสามารถรุกรานประเทศอื่นๆ เป็นเรื่องปกติของโลก บางประเทศพยายามทำให้ดูดีอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง
บางคนอาจสงสัยทำไมสหประชาชาติไม่ลงโทษรัสเซียที่บุกยูเครน
ไม่ลงโทษอิสราเอลที่ค่อยๆ ยึดดินแดนปาเลสไตน์ ทั้งสองกรณีละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
ละเมิดข้อมติคณะมนตรีความมั่นคง ข้อตกลงระหว่างประเทศ คำถามนี้อธิบายได้หลายแบบ
หนึ่งในนั้นเพราะระบบโลกที่มีอยู่ไม่สมบูรณ์ กลไกจึงพลอยบิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามที่บางคนคิดหวัง
(ทั้งนี้กลไกทำหน้าที่ตามเงื่อนไขที่สร้างขึ้นตั้งแต่ต้น)
ในที่นี้จะมุ่งพูดถึงสหประชาชาติโดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงผู้มีบทบาทสำคัญสุด
การประชุมของสหประชาชาติต่อประเด็นต่างๆ
อาจมีข้อมติ แต่ข้อมติไม่มีผลบังคับใช้ รัฐใดจะนำไปปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ ยกเว้นข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงที่มีผลบังคับใช้
เนื่องจากจะกำหนดบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม เช่น โดนนานาชาติคว่ำบาตร
ไม่ทำการค้าด้วย หรือจำกัดไม่ขายสินค้าบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงให้ความสำคัญกับบทบาทของคณะมนตรีความมั่นคง
ความไม่เป็นกลางของสหประชาชาติ:
คณะมนตรีความมั่นคงเป็นองค์กรหลักของสหประชาชาติที่สะท้อนความไม่เป็นกลางมากที่สุด
Richard N. Haass สรุปว่า “บทบาทของสหประชาชาติจะเป็นอย่างไรขึ้นกับมหาอำนาจว่าต้องการให้เป็นอย่างนั้น
เพราะสหประชาชาติไม่มีอธิปไตยในตัวเอง มหาอำนาจเห็นพ้องต้องกันก่อน
สหประชาชาติจึงลงมือทำตาม หากมหาอำนาจตกลงกันไม่ได้ สหประชาชาติได้แต่นั่งดูเฉยๆ
นี่คือแนวคิดของคณะมนตรีความมั่นคง”
นักวิชาการบางคนอธิบายเหตุที่สหประชาชาติไม่อาจแสดงบทบาทเท่าเทียม
เพราะองค์กรนี้กำเนิดบนรากฐานสำนักคิดแบบอุมดคตินิยม (Idealism) ร่วมกับสัจนิยม (Realism)
ซึ่งในทางปฏิบัติหลายต่อหลายครั้งสัจนิยมจะโดดเด่นกว่า
ภายใต้ระบบระเบียบของสหประชาชาติ
ประเด็นความมั่นคงใดๆ ที่ไม่ตอบสนองผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจ
ประเด็นเหล่านั้นมักจะไม่ผ่านการพิจารณา ปราศจากข้อมติที่มีผลบังคับใช้ต่อปัญหานั้นๆ
เป็นหลักฐานชี้ความไม่เท่าเทียมกันของประเทศชาติสมาชิก แม้ตามหลักอธิปไตยจะระบุว่าเท่าเทียมกัน
หากศึกษาให้ลึกกว่านี้สามารถวิเคราะห์สหประชาชาติ สถานการณ์โลกจากสัจนิยมดังนี้
รากปัญหาการมองโลกแบบสัจนิยม:
นับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 เป็นต้นมารัฐบาลตะวันตกยึดสัจนิยม (Realism หรือ Realpolitik) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ชี้ว่าสภาพของโลกเป็นอนาธิปไตย (Anarchy) อยู่ในภาวะของการแข่งขัน
ต่อสู้ ใช้กฎแห่งป่า (law of the jungle) ผู้เข้มแข็งที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด
ปลาใหญ่กินปลาเล็กเสมอ ประเทศที่เข้มแข็งกว่ามักทำอะไรตามความต้องการในขณะที่ประเทศอ่อนแอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น
เป็นโลกที่ไม่เท่าเทียม
ไมค์
ปอมเปโอ (Mike Pompeo) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสมัยโดนัลด์
ทรัมป์กล่าวเมื่อกรกฎาคม 2020 ว่า “ถ้าโลกเสรีไม่เปลี่ยนคอมมิวนิสต์จีน
คอมมิวนิสต์จีนจะเปลี่ยนเรา” เป็นการยืมถ้อยคำของประธานาธิบดี Richard
Nixon ตีความว่าสุดท้ายจะเหลือแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ฝ่ายโลกเสรีก็คือฝ่ายคอมมิวนิสต์จีน สะท้อนการมองโลกของรัฐบาลอเมริกันในปัจจุบัน
การบิดเบือนทฤษฎี:
สัจนิยมมีข้อดีหลายอย่างแต่เปิดช่องให้รัฐบาลบางประเทศตีความว่าสามารถรุกรานประเทศอื่นๆ
เป็นเรื่องปกติของโลก บางประเทศพยายามทำให้ดูดีอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยที่มองมนุษย์เท่าเทียม
ต้องมองผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ไม่ใช่มองเฉพาะความต้องการของตนเท่านั้น สัจนิยมชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือเรื่องในป่าใหญ่ที่แท้จริงแล้วไม่มีความเท่าเทียม
ที่พูดว่าเท่าเทียมเป็นแค่คำสวยหรูของผู้นำประเทศบางคนเท่านั้น
ไม่ว่าทฤษฎีจะดีหรือไม่
ผู้ตีความนำไปใช้สร้างผลลัพธ์ออกมา แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาภายในของตนกลับพยายามตักตวงผลประโยชน์ผู้อื่นเพื่อทดแทนส่วนขาด
คำถามคือแนวทางเช่นนี้จะยั่งยืนหรือไม่ นี่คืออารยธรรมที่กำลังทำลายตัวเองหรือไม่
Arash Heydarian Pashakhanlou อธิบายว่าสัจนิยมเป็นทฤษฎีที่ตั้งอยู่บนความกลัวอย่างยิ่ง กังวลว่าจะถูกรังแกทำร้าย
ถึงขั้นทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ไม่อาจพึ่งประเทศอื่นหรือสถาบันการเมืองระหว่างประเทศ
องค์การระดับโลก ด้วยเหตุนี้จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อป้องกันตนเอง
คำว่า
“ป้องกันตัวเอง” ไม่ได้ตีความว่าป้องกันไม่ให้ถูกผู้อื่นทำร้ายเท่านั้น
ยังอาจหมายถึงต้องไปทำร้ายทำลายผู้อื่นก่อนที่ผู้อื่นจะเติบใหญ่เข้มแข็งจนมาทำร้ายเรา
รัฐบาลหรือผู้ที่ยึดแนวคิดสัจนิยมแบบสุดโต่งจึงต้องหาทางกำจัดคู่แข่งทั้งหมด
ทำให้ประเทศอื่นๆ ตกเป็นทาสหรือกึ่งทาส ด้วยเหตุผลว่านี่คือการป้องกันตัวเอง
โลกแห่งสัจนิยมสุดโต่งเช่นนี้จึงเป็นโลกที่ต้องทำสงครามใหญ่น้อยอยู่เสมอ
สุดท้ายจะเหลือมหาอำนาจหรือนายทาสเพียงหนึ่งเดียว หรือ 2-3 เจ้าที่ร่วมกันครอบครอง
โลกปัจจุบันอาจแบ่งเป็นมหาอำนาจผู้เป็นเจ้า
(มี 1 เดียว) อภิมหาอำนาจ (อาจมีเพียง 1 เดียวหรือมากกว่า เช่น มี 2 ประเทศ)
มหาอำนาจระดับภูมิภาค ขึ้นกับวิธีการแบ่งมุมองที่ใช้ สะท้อนว่ามหาอำนาจมีหลายระดับ
มีเขตอิทธิพลของตนเอง มีเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นมหาอำนาจ
ผู้เชี่ยวชาญถกปัญหานี้มานาน
บางประเทศพยายามสร้างระเบียบโลกใหม่ที่อยู่คู่กับสหประชาชาติ
(เป็นกลุ่มย่อยที่อยู่ในระบบใหญ่) พยายามบอกว่าจะสร้างระบบใหม่ที่เป็นธรรมมากขึ้น
น่าติดตามว่าระบบใหม่ดีกว่าอย่างไร
คำถามน่าคิดคือจะสร้างสันติสุขหรือเป็นเหตุให้ขัดแย้งมากขึ้น
ทำสงครามอีกหลายครั้งในโลกศตวรรษที่ 21 นี้
ไปๆ มาๆ โลกศตวรรษที่ 21
แม้เจริญก้าวหน้ากว่าโบราณกาลมากแต่ยังคงสภาพความเป็นป่าเช่นเดิม
---------------------------
บรรณานุกรม :1. Brown,
Chris. (2005). Understanding International Relations (3 Ed.). New York:
Palgrave Macmillan.
2. Haass, Richard N. (2005). The Politics of
Power: New Forces and New Challenges. Defining Power, 27 (2), Summer 2005, Retrieved from
http://hir.harvard.edu/articles/1340/1/>
3. Kegley, Charles W., Blanton, Shannon L.
(2011). World Politics: Trend and Transformation, (2010-2011 Ed.). MA:
Wadsworth Publishing.
4. Mladenov, Nikolai. (2021). Chinas Grand Strategy
and Power Transition in the 21st Century. (Switzerland: Palgrave Macmillan.
5. Pashakhanlou, Arash Heydarian. (2017). Realism
and Fear in International Relations: Morgenthau, Waltz and Mearsheimer
Reconsidered. UK: Palgrave Macmillan.
6. United
Nations. (2015). Growth in United Nations membership, 1945-present. Retrieved
from http://www.un.org/en/members/growth.shtml
-----------------