ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่การกีดกันเทคโนโลยีชิ้นส่วนไฮเทคสู่จีนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบโลกในตอนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นใหม่ที่การแบ่งขั้วชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที
ปลายเดือนตุลาคม Prabir Purkayastha ตั้งคำถามว่าการที่รัฐบาลสหรัฐห้ามส่งชิปสำคัญแก่จีนเท่ากับเปิดฉากทำสงครามกับจีนแล้วใช่หรือไม่
หลังรัฐบาลสหรัฐคว่ำบาตรบริษัทจีนหวังสกัดไม่ให้จีนเป็นเจ้าตลาด
ตัวอย่างกีดกัน 4 ด้าน:
ประการแรก
เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม
พฤศจิกายน US Federal Communications Commission (FCC) คว่ำบาตรบริษัทสื่อสารจีน 5
แห่งด้วยเหตุผลกระทบความมั่นคงแห่งชาติ บริษัททั้ง 5 ได้แก่ Huawei,
ZTE, Hytera Communications, Hikvision Digital Technology และ
Dahua Technology
Robert
Silvers รมช. Homeland Security for Strategy, Policy and
Plans เตือนว่าการให้นานาชาติใช้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารจีนเป็นวิธีควบคุมทางเทคโนโลยีที่ถูกที่สุด
รัฐบาลจีนอาจใช้สิ่งนี้ควบคุมสังคมประเทศนั้น สามารถทำให้ระบบสื่อสารล่ม
เป็นแผนของจีนที่จะควบคุมจุดสำคัญทางเศรษฐกิจโลกกับโครงสร้างสื่อสาร
ไม่กี่ปีมานี้รัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจากรีพับลิกันหรือเดโมแครทต่างกีดกันสินค้าสื่อสารจีน
ด้านผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าจีนมีตลาดอื่นอีกมากมายไม่จำต้องขายที่สหรัฐ ปีที่แล้ว (2021)
Huawei กำไร 15,900 ล้านดอลลาร์เพิ่มจากปีก่อนหน้า
75.9% รัฐบาลจีนลงทุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมสื่อสารเต็มที่
ประการที่ 2 quantum
computing
อุตสาหกรรม
quantum computing เป็นอีกจุดที่รัฐบาลสหรัฐพยายามกีดกันอย่างหนัก
หวังว่ามาตรการดังกล่าวจะเพิ่มขีดความสามารถด้าน quantum computing ของตนเมื่อเทียบกับจีน เป็นประโยชน์โดยตรงแก่อุตสาหกรรม ระบบที่ใช้ quantum
computing ฝ่ายจีนแก้เกมด้วยการเร่งพัฒนาด้วยเครื่องมือกับเทคโนโลยีที่มีอยู่และหาได้
รัฐบาลอุดหนุนงานวิจัยเต็มที่
ประการที่ 3 เซมิคอนดักเตอร์
Ray Yang จาก ITRI Industrial Economics and Knowledge Center ชี้ว่าปัจจุบันสหรัฐเป็นผู้ครองแหล่งผลิตชิปไฮเทค 80% ของโลก เป็นผู้นำด้านนี้
การกีดกันลามไปถึงประเทศอื่นๆ เช่น ห้ามบริษัทเนเธอร์แลนด์ขายเครื่องมือผลิตชิปล่าสุดแก่จีนเนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวมีทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาปนอยู่ด้วย
แต่บางบริษัทยังดื้อดึงไม่ทำตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐทั้งๆ
ที่เป็นพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้
William
Overholt จาก Harvard University
เห็นว่าการกีดกันเซมิคอนดักเตอร์คือการประกาศทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน
การกีดกันจะยิ่งกระตุ้นจีนให้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้จนแซงหน้า Ray Yang ระบุว่ามาตรการสหรัฐสามารถสกัดได้ช่วงหนึ่ง
จากนั้นจีนอาจผลิตของตนแต่ประสิทธิภาพต่ำกว่า
ด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนชี้ว่ารัฐบาลไบเดนใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือแบ่งแยกทางการเมืองระหว่างประเทศ
แบ่งแยกเศรษฐกิจจีนกับอเมริกาซึ่งไม่เป็นผลดีต่ออเมริกาและโลก ทำลายซับพลายเชน
บั่นทอนการค้าเสรี
ประการที่
4 รถ EV
ประเด็นรถไฟฟ้า
EV เป็นอีกเรื่องที่น่าจับตาเพราะนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในของไบเดนกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกรถประเภทนี้ทั่วโลก
เรื่องรถ EV มีประเด็นน่าสนใจว่าจีนกำลังเปลี่ยนแบตเตอรี่เรือดำน้ำของตนเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
(Lithium-Ion Battery)
เพิ่มขีดความสามารถในการรบขึ้นอีกระดับ เป็นผลพวงจากการพัฒนารถ EV
เรือดำน้ำที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะดำน้ำได้นานขึ้นเท่าตัว
ความเร็วสูงขึ้น แต่มีข้อกังวลว่าอาจเกิดไฟไหม้เสียหายทั้งระบบ
จำต้องพัฒนาให้ก้าวผ่านข้อกังวลดังกล่าว แต่หากสำเร็จจะได้เรือดำน้ำใหม่ที่เหนือกว่าเรือดำน้ำเดิม
เป็นอีกกรณีตัวอย่างชี้ว่าความก้าวหน้าที่ใช้ทางพลเรือนมีประโยชน์ทางทหารด้วย
จากค้าเสรีสู่กีดกัน :
ย้อนหลังทศวรรษ 1990 สหรัฐส่งเสริมการค้าเสรี
โลกาภิวัตน์แต่บัดนี้การห้ามค้าขายสินค้าไฮเทคเท่ากับสกัดรายได้บริษัทอเมริกันต่อจีนที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุด
เรื่องนี้มีผลระยะยาวแน่นอน และไม่เพียงกระทบสหรัฐเท่านั้นแต่จะกระทบต่อทุกประเทศ
เป้าหมายล่าสุดคือสกัดไม่ให้จีนได้รับเทคโนโลยีผลิตชิปคอมพิวเตอร์ชั้นสูง
เทคโนโลยีสร้างซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เมื่อเจาะลึกลงรายละเอียดพบว่าไม่ได้สกัดสินค้าไฮเทคล่าสุดเท่านั้น
ยังสกัดเทคโนโลยีรุ่นเก่าอย่างปลายสมัยทศวรรษ 1990
การคว่ำบาตรต่อทุกบริษัทในโลกที่ใช้เทคโนโลยีสหรัฐ
เป็นชิ้นส่วนๆ หนึ่งของผลิตภัณฑ์ เท่ากับว่ากฎหมายและนโยบายสหรัฐมีผลต่อทุกบริษัททุกสถาบันในโลก
ห้ามพลเมืองอเมริกันทำงานกับบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ทำลายระบบซัพพลายเชนเดิมต้องสร้างระบบใหม่ที่ปราศจากจีน
จะเห็นว่าเมื่อสหรัฐเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบจึงประกาศการค้าเสรี
ขอให้ทุกประเทศเปิดตลาด เปิดรับสินค้านานาชาติ
สหรัฐได้ประโยชน์จากการค้าเสรีเต็มที่
แต่เมื่อสถานการณ์พลิกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
รัฐบาลสหรัฐอ้างว่าสินค้าต่างชาติเป็นภัยความมั่นคง (สินค้าบางตัว) จึงประกาศกฎเกณฑ์ใหม่
เรียกว่า “การค้าเสรีใหม่” ซึ่งมีความหมายว่าห้ามขายหรือซื้อสินค้าบางประเทศ
พร้อมกับให้พันธมิตรหุ้นส่วนซื้อขายกับตนและซื้อขายกันเอง
กรณีโทรศัพท์มือถือ
เครื่องมือสื่อสารเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
หลายประเทศทำตามคือซื้อใช้แต่ของอเมริกันกับพวกแต่ไม่ซื้อของจีน แม้ผลิตภัณฑ์จีนคุณภาพดีราคาประหยัด
กลายเป็นว่าเพิ่มต้นทุนเพิ่มภาระเพราะนโยบาย “การค้าเสรีใหม่” ของสหรัฐ
ถ้าเสรีจริงควรซื้อใช้ได้ทุกยี่ห้อทุกประเทศ
ให้ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างเสรี แต่นโยบายรัฐบาลสหรัฐขัดขวางเสรีภาพดังกล่าว
ทำลายความเท่าเทียม เป็นอีกหลักฐานที่สหรัฐถดถอยจากประชาธิปไตย
รัฐบาลไบเดนประกาศว่าสหรัฐยึดมั่นระบบโลกที่ยึดถือกติกา
พูดให้ถูกคือ รัฐบาลสหรัฐยึดถือกติกาที่ตนเป็นผู้สร้าง
ในเวลาต่อมาหากเสียประโยชน์จากกติกาเดิมก็จะละเมิด (ยกเลิก)
ของเก่าและสร้างของใหม่ขึ้นแทน พร้อมให้บอกให้นานาชาติยึดถือกติกาใหม่นี้
เศรษฐกิจถดถอยรอบนี้รัฐบาลเป็นผู้ก่อ :
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจรอบนี้มาจาก
3 เหตุการณ์หลัก ได้แก่ โควิด-19
การคว่ำบาตรรัสเซียและการกีดกันจีน ผลคือเงินเฟ้อพุ่ง
สังเกตว่าเงินเฟ้อเริ่มต้นที่หมวดพลังงานกับอาหารเป็นหลัก
ที่สำคัญคือเกิดภาวะเงินเฟ้อทั้งโลก บางประเทศสูงอย่างที่ไม่เคยประสบในรอบ 4 ทศวรรษ
ต้องย้ำว่าเงินเฟ้อรอบนี้กระทบคนทั้งโลกเพราะราคาพลังงานกับอาหารเป็นสินค้าจำเป็นพุ่งพรวด
ในช่วงแรกนี้คนไม่ตกงานแต่รายได้ไม่พอรายจ่าย (หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้น)
สังเกตว่าค่าไฟเพิ่ม ค่าอาหารเพิ่ม
2 เรื่องที่กำลังจะเกิดคือเศรษฐกิจโตช้ากับสินค้าแพง
ต้องทำความเข้าใจต่อว่าเศรษฐกิจแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
หากจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อจะส่งผลให้เศรษฐกิจยิ่งโตช้าหรือถดถอย
บางประเทศจึงไม่ขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงอย่างที่สหรัฐทำ
ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่าต้องรออย่างน้อย
6 เดือนจึงจะรู้ว่ามาตรการการเงิน
(ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ) จะได้ผลจริงแค่ไหน
(การพิจารณาตัวเลขตอนนี้อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง) สรุปสั้นๆ คือ ต้องรอปีหน้าจึงจะตอบได้ว่าขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อได้จริงและต้องดูรายประเทศด้วย
จีนยังส่งออกมากขึ้นแต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจโตช้าลง การบริโภคภายในลดลง 10%
เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด-19
ความหวังที่จะเห็นจีนเป็นเครื่องกระตุ้นเศรษฐกิจโลกริบหรี่ ดูเหมือนรัฐบาลสี
จิ้นผิงวางนโยบายให้เป็นเช่นนั้น
ท้ายที่สุดผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า
การคว่ำบาตรรัสเซียกับกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงสินค้าไฮเทคคือต้นเหตุปัญหาที่รัฐบาลก่อและประชาชนต้องจ่ายราคาในขณะนี้
----------------------
1. A new kind of global recession: Why this time is different |
Business Beyond. (2022, November 18). DW. Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=cD3o6tqP9pI
2. Beware China’s telecom tech: US official. (2022, October
31). Taipei Times. Retrieved from https://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2022/10/31/2003788000
3. Chip ban pushback stresses damage. (2022, November 26). China
Daily. Retrieved from https://www.chinadaily.com.cn/a/202211/26/WS63816591a31057c47eba12de.html
4. China slams US industrial subsidies, export controls that
‘may violate WTO rules’. (2022, November 27). Global Times. Retrieved
from https://www.globaltimes.cn/page/202211/1280528.shtml
5. Harvard guru gives Biden a D+ for China policy. (2022,
November 23). Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/11/harvard-guru-gives-biden-a-d-for-china-policy/
6. Power play: China’s submarines going lithium. (2022,
October 30). Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/10/power-play-chinas-submarines-going-lithium/
7. US chip ban de facto declaration of war on China? (2022,
October 29). Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/10/us-chip-ban-de-facto-declaration-of-war-on-china/
8. US chip ban hangs over Shanghai’s new AI center. (2022,
November 23). Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/11/us-chip-ban-hangs-over-shanghais-new-ai-center/
9. US will struggle to stop China’s quantum leap. (2022,
October 31). Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/10/us-will-struggle-to-stop-chinas-quantum-leap/
10. US tech war shows signs of crumbling. (2022, November 27).
Asia Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2022/11/us-tech-war-shows-signs-of-crumbling/
11. US’ repeated ban on Chinese tech firms will only ‘hurt
global value chain, get backfire’. (2022, November 26). Global Times. Retrieved
from https://www.globaltimes.cn/page/202211/1280493.shtml
-----------------------