ตลอด 240 ปีนับจากก่อตั้งประเทศได้พิสูจน์ชัดว่าชาวอเมริกันผู้รักสันติแทบไม่มีผลต่อนโยบายทำสงคราม
เป็นเหตุให้สหรัฐเข้าทำสงครามน้อยใหญ่อยู่เสมอ สงครามมีเพื่อใครกันแน่
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
Mitchell K. Hall ในหนังสือ
Opposition to War: an encyclopedia of U.S. peace and antiwar
movements บรรยายว่าตลอดประวัติศาสตร์ 240 ปีนับแต่ก่อตั้งประเทศ
สหรัฐทำสงครามครั้งใหญ่ 12 ครั้ง (เฉลี่ย 20 ปีต่อครั้ง-แก้ไข) ไม่นับสงครามเล็กๆ
ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกอีกจำนวนมาก ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าเป็นชาติรักสันติ
ในหมู่ชาวอเมริกันมีผู้รักสันติแท้ๆ
ด้วยแรงขับหลากหลาย จุดมุ่งหมายปลีกย่อยหลายแบบ และใช้ยุทธศาสตร์แตกต่างกัน
นักต่อต้านสงครามรุ่นแรกๆ
ได้แรงผลักดันจากศาสนา พวกพิวริตัน (Puritan-นิกายหนึ่งของผู้นับถือคริสต์) ยึดหลัก “สงครามที่เป็นธรรม” (just war)
ในขณะที่ผู้นับถือคริสต์ส่วนใหญ่จะยึดหลักการจากเทศนาบนภูเขาของพระคริสต์ (Christ’s
Sermon on the Mount) แต่ผู้ประกาศตัวว่านับถือคริสต์มีหลากหลาย
บางคนเห็นด้วยกับการทำสงคราม เกิดความขัดแย้งกันเองถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายกัน
ทำลายหรือยึดทรัพย์สินของอีกฝ่าย
ในยุคเริ่มประเทศ
รัฐบาลยึดนโยบายเป็นกลาง
ด้วยเกรงว่าหากสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศในยุโรปจะชักนำตัวเองเข้าสู่ความขัดแย้ง
ในยามที่ประเทศขาดความพร้อม (ในขณะนั้นรัฐต่างๆ ที่รวมเป็นประเทศยังขาดเอกภาพ
รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจ)
ชมคลิปสั้้น 5 นาที
เลิกทาส จักรวรรดินิยม สงครามโลก :
ชมคลิปสั้้น 5 นาที
ในเวลาต่อมาแนวคิดต่อต้านสงครามนำสู่แนวคิดเลิกทาส
เห็นว่าการบังคับทาสโหดร้ายทารุณไม่แพ้สงคราม
ความคิดเลิกทาสสร้างความขัดแย้งในสังคมอย่างหนัก บางคนเห็นว่าจำต้องมีต่อไป
บ้างเห็นว่าหากเลิกทาสประเทศจะปั่นป่วนกว่าเดิมเพราะจะเกิดสงครามกลางเมือง
ปลายศตวรรษที่
19 ชาวอเมริกันผู้รักสันติถกว่าประเทศเป็นจักรวรรดินิยมหรือไม่
เมื่อทำสงครามกับสเปนและเป็นเจ้าอาณานิคมฟิลิปปินส์
ฝ่ายที่เห็นว่าควรผนวกฟิลิปปินส์ให้เหตุผลว่าเป็นประโยชน์ต่อสันติภาพโลก ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยชี้ว่าเป็นข้ออ้างเพื่อยึดครองมากกว่า
(ปลดปล่อยฟิลิปปินส์จากสเปนเพื่อยึดครองเอง) สุดท้ายรัฐสภายืนยันผนวกฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสหรัฐ
วิเคราะห์
: จะเห็นว่าตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนมีประเด็นถกเถียงว่าสหรัฐเป็นจักรวรรดินิยมหรือไม่
คำว่าปลดปล่อย ช่วยเหลือประเทศอื่นเป็นเพียงข้ออ้างหรือไม่ จะเห็นว่าประชาชนสามารถแสดงจุดยืนความคิดเห็นอย่างเต็มที่
แต่เสียงของประชาชนมีผลต่อนักการเมืองมากน้อยเพียงไรนั่นเป็นอีกเรื่อง
เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่
1 เกิดคำถามว่าควรเตรียมพร้อมเพื่อสงครามครั้งต่อไปหรือไม่ ควรวางตัวเป็นกลางอีกหรือไม่
ปรากฏว่ารัฐบาลเห็นต่างจากพวกรักสันติทั้ง 2 เรื่อง นับวันจะเพิ่มกฎหมายที่มุ่งบั่นทอนบ่อนทำลายประเทศปรปักษ์
เตรียมพร้อมทำสงคราม
ในช่วงนี้เกิดกลุ่มต่อต้านสงครามมากมาย บางกลุ่มไม่คิดว่าการเผยแพร่ประชาธิปไตยจะเป็นต้นเหตุให้เกิดสันติภาพ
เห็นว่าเป็นข้ออ้างของพวกลัทธิจักรวรรดินิยมมากกว่า
ในทศวรรษ 1930 นักสันตินิยมให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และนโยบายลดอาวุธ
บางส่วนสนับสนุนแนวคิดการป้องกันร่วม (collective action) เพื่อต้านการขยายตัวของฟาสซิสต์
วิเคราะห์
: หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 บริบทเปลี่ยนไปมาก
ฝ่ายการเมืองเห็นว่าต้องเข้าพัวพันกับโลกเพื่อความมั่นคง โลกกำลังมีอันตรายจากลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งเป็นความจริง
ในขณะที่ความจริงอีกด้านมีคำถามอยู่เสมอว่าสหรัฐกำลังเป็นจักรวรรดินิยมด้วยหรือไม่
(ทำลายจักรวรรดินิยมอื่นเพื่อตัวเองเป็นจักรวรรดินิยมใหม่)
ความเข้าใจเหล่านี้นับวันจะซับซ้อน มีประเด็นที่ต้องศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นองค์ความรู้ที่ต้องสืบเสาะระดับโลก
ในทศวรรษ
1930 คนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลเลี่ยงความตึงเครียดในยุโรป
(การปรากฏตัวของนาซีเยอรมัน) ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “ทำสงครามเพื่อหยุดสงคราม”
ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่หยุดความตึงเครียด
และสถานการณ์ดูเหมือนว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่อีก
วิเคราะห์
: สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่หยุดความตึงเครียดมาจากหลายสาเหตุ
ปัจจัยสำคัญคือเยอรมันต้องยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อสงคราม ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามถึง
1.5 เท่าของจีดีพี เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม
ระบบอุตสาหกรรมพังทลาย เศรษฐกิจพังพินาศ คนว่างงานสูงเกือบร้อยละ 50 รัฐบาลประชาธิปไตยอ่อนแอ ผลักดันให้คนเยอรมันสนับสนุนฮิตเลอร์ ดังนั้นจะโทษตัวสงครามอย่างเดียวไม่ได้
เมื่อนาซีเยอรมันเริ่มรุกรานเพื่อนบ้าน
กลุ่มรักสันติบางคนเห็นด้วยกับการต่อต้านนาซีโดยให้เป็นความร่วมมือจากนานาชาติ เป็นกรณีตัวอย่างชี้ว่าการรักสันติไม่ได้หมายถึงไม่ทำสงคราม
หรือต้องรอให้ศัตรูอยู่หน้าบ้านจึงลงมือต่อต้าน
สงครามเย็นและหลังสงครามเย็น :
ยุคสงครามเย็นมหาอำนาจมีอาวุธนิวเคลียร์เหลือเฟือ
เป็นช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา
มีหลายเหตุการณ์ที่เกือบนำสู่สงครามนิวเคลียร์ทั้งแบบตั้งใจกับไม่ตั้งใจ
เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลกับพวกรักสันติคิดเห็นต่างกัน รัฐบาลสหรัฐไม่ว่ามาจากพรรคเดโมแครทหรือรีพับลิกันใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศคอมมิวนิสต์
สร้างกองทัพมหึมา ชาวอเมริกันที่สนใจสังคมนิยมจะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นพวกคุกคามความมั่นคงประเทศ
เสรีภาพของประชาชนถูกบั่นทอน
สงครามเกาหลีในทศวรรษ 1950 ถูกตีความสนับสนุนแนวทางรัฐบาล พวกรักสันตินั้นไร้เดียงสา
อย่างไรก็ตาม สงครามเวียดนามพลิกสถานการณ์สนับสนุนฝ่ายรักสันติ และกลายเป็นช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันเรียกร้องต่อต้านสงครามมากสุดในประวัติศาสตร์
มีนักเคลื่อนไหวอย่างจริงจังถึง 4 ล้านคน ฝ่ายต่อต้านประกอบด้วยหลากหลายกลุ่ม
คนส่วนใหญ่ต่อต้านสงครามด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนา
วิเคราะห์
: ถ้าพิจารณาจากประเด็นเพิ่มงบประมาณกลาโหม
การแทรกแซงประเทศอื่นๆ จะเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจะมาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครทล้วนมีจุดยืนแตกต่างจากกลุ่มรักสันติ
และเห็นได้ชัดว่ากลุ่มไม่มีผลต่อยุทธศาสตร์แม่บท
มีเพียงบางเหตุการณ์ที่ชวนให้คิดว่าฝ่ายรักสันติมีผลต่อนโยบายรัฐ เช่น
การลดอาวุธนิวเคลียร์ ความพยายามยุติบางสงคราม
สงครามอ่าวเปอร์เซีย การโค่นล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) กลายเป็นศูนย์รวมพวกต่อต้านสงครามอีกครั้ง พร้อมกับที่รัฐบาลประกาศทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย
ฝ่ายต่อต้านไม่เชื่อว่ารัฐบาลซัดดัมเกี่ยวข้องกับเหตุ 9/11 เชื่อว่าเป้าหมายที่รัฐบาลสหรัฐต้องการคือควบคุมบ่อน้ำมัน
โดยรวมแล้ว
แนวคิดของพวกรักสันติเริ่มจากหลักศาสนาคริสต์
ต่อมาเป็นแนวคิดด้านการเมืองการปกครอง เช่น ส่งเสริมประชาธิปไตยเพราะเห็นว่าประเทศประชาธิปไตยจะไม่ทำสงคราม
สงครามยับยั้งได้ด้วยความร่วมมือนานาชาติ 240
กว่าปีนับจากก่อตั้งประเทศฝ่ายรักสันติสงสัยจุดมุ่งหมายของรัฐบาลเรื่อยมาว่าต้องการสันติภาพจริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อทำสงคราม
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
ทั้งสงครามเวียดนามกับสงครามอ่าวเปอร์เซียเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สังคมอเมริกันเห็นว่าไม่ใช่สงครามที่ควรเข้าร่วม
ที่ควรเข้าใจคือทั้ง 2 สงครามทหารอเมริกันเสียชีวิตจำนวนมาก ปัญหาใหญ่กว่าผู้เสียชีวิตคือผู้บาดเจ็บ
กรณีสงครามอิรักบาดเจ็บกว่า 32,000 นาย ในจำนวนนี้หลายพันคนประสบปัญหาทางสมองและไขสันหลัง
เป็นภาระที่รัฐบาลกับครอบครัวทหารหาญต้องแบกนานเป็นสิบปีหรือตลอดชีวิต เสียค่าใช้จ่ายดูแลพยาบาล
เรื่องเหล่านี้ส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างมาก ถึงขั้นแพ้หรือชนะเลือกตั้ง
ดังนั้น ประเด็นไม่อยู่ที่รัฐบาลรักสันติหรือไม่ คนอเมริกันเสียชีวิตกับบาดเจ็บพิกลพิการเป็นแรงกดดันสำคัญ
ดังจะเห็นว่านับจากเริ่มรัฐบาลบารัก โอมาบา สหรัฐถอนทหารหลายหมื่นออกจากสมรภูมิ
ที่ยังประจำการในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในป้อมทหาร ผู้ที่รบจริงเป็นพวกหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
พร้อมๆ กันนี้คือข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลโอบามาอยู่เบื้องหลังการโค่นล้มหลายรัฐบาล
เพียงแต่รัฐบาลโอบามานิ่งเฉยไม่ค่อยแสดงอะไรออกมา
ภาพที่เห็นจึงเป็นความขัดแย้งภายในประเทศ เกิดรัฐประหารยึดอำนาจภายในประเทศ ทั้งๆ
ที่หลายกรณีรัฐบาลสหรัฐมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย
การปรากฏตัวของกลุ่มติดอาวุธที่มาจากกว่าร้อยประเทศ
กลุ่มผู้ก่อการร้ายหลายกลุ่ม รวมทั้ง ISIS/ISIL เป็นอีกปรากฏการณ์ที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งที่หลายคนมั่นใจว่ารัฐบาลบางประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
หากดูจากยุทธศาสตร์แม่บทเรื่องการพัวพันโลกที่ยังยึดถือเรื่อยมา
ปรากฏเป็นการทำสงครามในที่ต่างๆ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มล้างรัฐบาลประเทศอื่นๆ
ควบคุมรัฐบาลหลายประเทศในโลก เห็นชัดว่าพวกรักสันติไม่มีผลต่อนโยบายรัฐบาล
คำถามสำคัญคือนโยบายเหล่านี้ส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่า
พลเมืองอเมริกันได้ประโยชน์จริงหรือไม่ มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
แท้จริงแล้วพลเมืองอเมริกันมีผลต่อนโยบายประเทศหรือ
11 มีนาคม
2018
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
22 ฉบับที่ 7792 วันอาทิตย์ที่ 11
มีนาคม พ.ศ.2561)
------------------------
บรรณานุกรม :
1. D'Anieri, Paul. (2012). International Politics: Power and
Purpose in Global Affairs. USA: Wadsworth.
2. Hall, Mitchell K. (2018). Opposition to War: an
encyclopedia of U.S. peace and antiwar movements. USA: ABC-CLIO, LLC.
3. Heidler, David S., Heidler, Jeanne T. (2004). Daily
Life in the Early American Republic, 1790-1820: Creating a New Nation. USA:
Greenwood Press.
4. Hoffman, John., Graham, Paul. (2015). Introduction to
Political Theory (3rd Ed.). Oxon: Routledge.
5. Justin P. Coffey and Paul G. Pierpaoli Jr.. (2010). Bush,
George Walker. In The Encyclopedia of Middle East Wars: The United States
in the Persian Gulf, Afghanistan, and Iraq Conflicts. (pp.251-251). California
: ABC-CLIO, LLC.
6. U.S. House of Representatives. (2013, July 9).
Subcommittee Hearing: Learning From Iraq: A Final Report from the Special
Inspector General for Iraq Reconstruction. Retrieved from
http://docs.house.gov/meetings/FA/FA13/20130709/101112/HHRG-113-FA13-Transcript-20130709-U1.pdf
-----------------------------