โลกแห่งการแก่งแย่งและทางออก
สิ่งหนึ่งที่โลกไม่เปลี่ยนแปลงคือ
โลกแก่งแย่งแข่งขันเรื่อยมา ทางออกสำหรับประเทศไทยคือ
ต้องไม่ตกเป้าทำลายของมหาอำนาจ มีสัมพันธ์รอบทิศ สร้างมิตร
และสร้างชาติเหมือนสร้างครอบครัว
การแก่งแย่งแข่งขันระดับโลก :
ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
มนุษย์อยู่ด้วยกันโดยไม่มีกฎ ใครจะทำอะไรอย่างไรก็ได้ ความไม่มีกฎนี้นักวิชาการเรียกว่าเป็น
“กฎแห่งป่า” สัตว์ที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่าคือตัวที่อยู่รอด ส่วนที่อ่อนแอ
ฉลาดน้อยกว่าจะกลายเป็นเหยื่อ
มนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อหวังช่วยเหลือกันและป้องกันภัยจากภายนอก
กลายเป็นชนเผ่า เมือง อาณาจักร การต่อสู้การแย่งชิงดำเนินต่อไป เป็นสงครามระหว่างเมือง
ระหว่างอาณาจักร คนจีนฮั่นโจมตีมองโกล คนมองโกลรุกรานฮั่น ไทยรบกับพม่า พม่าตีไทย ไทยตีพม่า
ไม่มีกติกาว่าห้ามฆ่าคนอีกฝ่าย ห้ามยึดทอง จับเชลยไปเป็นทาส
ตลอดประวัติศาสตร์โลกเต็มด้วยต่อสู้แย่งชิง จนถึงทุกวันนี้ อิหร่านกับเกาหลีเหนือเป็นกรณีตัวอย่างในปัจจุบัน
กรณีอิหร่าน :
ก่อน
1979 รัฐบาลของกษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่านเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของรัฐบาลสหรัฐ การที่สหรัฐเป็นมิตรเพราะมั่นใจว่าสามารถควบคุมรัฐบาลกษัตริย์ชาห์
(มูฮัมหมัด เรซา ชาห์ ปาห์ลาวี - Shah Mohammad Reza Pahlavi)
ภายใต้รัฐบาลชาห์
บรรษัทน้ำมันตะวันตกสามารถตักตวงผลประโยชน์ ทรัพยากรน้ำมันจากประเทศนี้อย่างเต็มที่
ถึงขนาดบริษัทน้ำมันเป็นผู้กำหนดราคาและกำหนดว่าจะผลิตมากน้อยเพียงไร
แม้ประเทศส่งออกน้ำจำนวนมาก
แต่รายได้จากน้ำมันกระจุกตัวในชนชั้นปกครอง พลเมืองส่วนใหญ่อยู่อย่างยากไร้
ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง อัตราว่างงานสูง รัฐควบคุมสถาบันศาสนา
ด้านผู้นำศาสนาเห็นว่าสังคมเต็มด้วยความโลภ ประพฤติผิดทางเพศ มุ่งแสวงหาแต่วัตถุ
เจ้าหน้าที่รัฐคอร์รัปชัน
หลังทนอยู่นานเป็นสิบปี
ในที่สุดชาวอิหร่านลุกฮือล้มรัฐบาลชาห์ ปี 1979 อยาตุลเลาะห์ โคมัยนี (Ayatollah
Khomeini) ขึ้นครองอำนาจ ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้น
โคมัยนีปฏิวัติประเทศ บริหารประเทศโดยยึดหลักศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ กระจายความมั่งคั่งจากสู่ประชาชนทุกคน
ชีวิตความเป็นอยู่จึงดีขึ้นมาก
นับจากนั้นเป็นต้นมา
รัฐบาลสหรัฐทุกชุด
ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครทต่างมองว่าอิหร่านคือศัตรู พยายามหาเรื่องด้วยวิธีต่างๆ
นานา เป้าหมายคือล้มระบอบอิหร่าน
ล่าสุดคือ
โจมตีว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นภัยต่อสหรัฐกับโลก ทั้งๆ ที่โครงการนิวเคลียร์อิหร่านในขณะนี้อยู่ภายใต้การตรวจสอบควบคุมของหน่วยงานสหประชาชาติ
(ที่เรียกว่า IAEA) หน่วยงานดังกล่าวกับประเทศสำคัญๆ
(เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซียและจีน) ยอมรับว่าโครงการโปร่งใส อิหร่านใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติเท่านั้น
เหมือนหลายสิบประเทศทั่วโลกที่ใช้นิวเคลียร์ในทางสันติ
แต่รัฐบาลสหรัฐยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าอิหร่านต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์
กรณีเกาหลีเหนือ :
แต่เดิมเกาหลีเหนือเป็นประเทศ
1 เดียว แต่ด้วยความขัดแย้งระหว่างลัทธิสังคมนิยมกับประชาธิปไตยในสมัยสงครามเย็น มหาอำนาจจึงแบ่งเกาหลีเป็น
2 ประเทศ ต่างฝ่ายต่างมีลูกพี่ใหญ่คอยสนับสนุน สหภาพโซเวียตสนับสนุนเกาหลีเหนือ
สหรัฐสนับสนุนเกาหลีใต้ เกิดสงครามเกาหลี ลงเอยด้วยไม่มีฝ่ายใดชนะ ทิ้งไว้คือศพผู้เสียชีวิต
3 ล้านคน
แม้สงครามเย็นจะสิ้นสุด
24 ปีแล้ว สหรัฐยังถือเกาหลีเหนือเป็นศัตรู ด้วยเหตุผลที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย
เหตุผลปัจจุบันคือ ต้องการปิดล้อมจีน มีอิทธิพลในภูมิภาค
คงฐานทัพขนาดใหญ่ของตนในเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น จึงต้องสร้างเกาหลีเหนือให้เป็นศัตรู
ในขณะเดียวกัน
การที่รัฐบาลเกาหลีเหนือแสดงท่าทีแข็งกร้าว พยายามพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกล
ระเบิดนิวเคลียร์ เป็นอีกเหตุผลให้รัฐบาลสหรัฐมีข้ออ้างเล่นงานเกาหลีเหนือ
เหตุผลอีกข้อมาจากสถานการณ์การเมืองภายใน
ชนชั้นปกครองหวังอาศัยความขัดแย้งกับสหรัฐเป็นเครื่องมือปกครองประเทศอย่างเข้มงวด
แม้ระบอบเกาหลีเหนือยังคงอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ แต่ถูกคว่ำบาตร
กดดันสารพัด ผนวกกับนโยบายควบคุมภายใน ส่งผลให้ประเทศขาดการพัฒนา
พลเมืองนับล้านอดอยาก ตรงข้ามกับเกาหลีใต้ที่รัฐบาลเป็นมิตรกับนานาชาติ ติดต่อค้าขาย
ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างที่เห็น
แนวทางที่เหมาะสม :
ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีขนาดปานกลางทั้งพื้นที่กับประชากร การกำหนดหลักนโยบายตั้งอยู่บนบริบททั้งหมด
แนวทางที่เหมาะสม ดังนี้
ประการแรก
ไม่ตกเป็นเป้าของมหาอำนาจ
อิหร่านกับเกาหลีเหนือเป็นกรณีตัวอย่างชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐหาเรื่องเรื่อยมา
ตามยุทธศาสตร์แม่บทที่ผ่านการวางแผนและดำเนินการต่อเนื่องหลายทศวรรษ
ไม่ว่าจะได้ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครท สิ่งที่เกิดขึ้นต่ออิหร่านกับเกาหลีเหนือไม่ต่างจากบางประเทศ
เช่น อิรักในสมัยซัดดัม ที่ถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรู
ซัดดัม ฮุสเซน เลือกที่จะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลสหรัฐ จึงถูกหาเรื่องจนในที่สุดถูกโค่นล้ม
โดยข้อกล่าวหาเท็จ ปัจจุบันกลายเป็นรัฐล้มเหลว ประเทศถูกแยกออกเป็นหลายส่วน
ต่างชาติเข้าแทรกแซง เกิดความขัดแย้งภายในไม่จบสิ้นดังที่เป็นข่าวทุกวันนี้
ดังนั้น
วิธีที่ประเทศเล็กกว่าจะอยู่รอดปลอดภัย ข้อแรกคือ ต้องระวังไม่ให้ตกเป็นเป้าที่ถูกจ้องจะทำลาย
อิหร่านตกเป็นเป้ามาแล้ว
37 ปี เกาหลีเหนือตกเป็นเป้ามาแล้วเกือบ 7 ทศวรรษ ทุกวันนี้รัฐบาลสหรัฐยังจ้องเล่นงานไม่เลิก
หวังโค่นล้มระบอบการปกครอง
ความรักชาติเป็นเรื่องดี จำต้องมีให้มาก แต่ไม่เป็นเหตุเสมอไปว่าประเทศเล็กกว่าจะไม่สิ้นชาติแม้พลเมืองรักชาติ
ประการที่ 2 สัมพันธ์รอบทิศ มิตรอาเซียน
ประเทศไม่สามารถเจริญก้าวหน้า
อยู่ดีกินดี มีความปลอดภัย ถ้าอยู่ลำพังประเทศเดียว ไม่ยุ่งกับใคร
ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดี
มีสัมพันธ์รอบทิศกับมหาอำนาจทุกประเทศ ร่วมมือกับเพื่อนบ้านกลายเป็นประชาคมอาเซียน
แม้เพื่อนบ้านแตกต่างแต่ไม่เป็นเหตุให้ร่วมมือกันไม่ได้ เป็นตัวอย่างเอกภาพในความหลากหลาย
ชาติสมาชิกอาเซียน
10 ประเทศ แตกต่างทั้งด้านการเมืองการปกครอง ความเติบโตทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่หลากหลาย
บางประเทศมีความพร้อมมาก (ASEAN-6) บางประเทศมีความพร้อมน้อยกว่า
(CLMV) 6 ประเทศที่มีความพร้อมมากกว่าจึงต้องช่วยเหลือ 4
ประเทศที่มีความพร้อมน้อยกว่า มีแผนความช่วยเหลือที่ชัดเจน

นโยบายสัมพันธ์รอบทิศ
ความร่วมมือของประชาคมอาเซียน เป็นเสาหลักนโยบายต่างประเทศไทย
ประการที่
3 ให้การสร้างชาติเหมือนสร้างครอบครัว
ไม่ว่าระบอบประชาธิปไตย
สังคมนิยม กษัตริย์ ฯลฯ ถ้าผู้มีอำนาจคือผู้กอบโกยและเสวยสุข
บนการกดขี่ขูดรีดประชาชน เช่นนี้ระบอบเหล่านั้นไม่แตกต่าง
การเลือกตั้งในหลายประเทศ
ผู้สมัครทุกคนพูดว่าทำเพื่อประชาชน เสนอนโยบายเพื่อประชาชน จากนั้นพูดแต่นโยบาย
ถกเถียงตอบโต้แต่เรื่องนโยบาย คำว่า “เพื่อประชาชน” เริ่มถูกบดบังและหายไป
ท้ายที่สุดได้นโยบายที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนจริง
บางประเทศเป็นแข่งระหว่าง
2 พรรคหรือมากกว่า ต่างฝ่ายต่างโจมตีให้ร้ายอีกพรรคหนึ่ง
สุดท้ายไม่ว่าพรรคใดชนะเลือกตั้ง ผู้เข้าถึงอำนาจกอบโกยและเสวยสุข
ประชาชนทุกข์ยากต่อไป
หากเป็นเช่นนี้ จะมีการเลือกตั้งกี่ครั้งก็เหมือนเดิม
จะมีผู้ปกครองหน้าใหม่หรือเก่าก็ไม่แตกต่าง
และหากชาติใดแตกแยกกันเอง
กดขี่ข่มเหงกันเอง ไม่สามารถสร้างความเข้มแข็ง ย่อมเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาฉกฉวยประโยชน์ ลองทบทวนว่ากี่อาณาจักร
กี่ประเทศที่สิ้นชาติไปแล้ว หรือกลายเป็นรัฐล้มเหลว ฯลฯ นี่คือบทเรียนเก่าๆ
ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดประวัติศาสตร์โลก
เกิดคำถามตามมาว่าควรจะยอมให้คนในประเทศกดขี่หรือให้ต่างชาติข่มเหง
คำตอบคือไม่ใช่ทั้งคู่ ต้องปลดแอกตนเองจากอำนาจอิทธิพลมิชอบ ใช้อำนาจในทางที่ผิด
การสร้างชาติให้เข้มแข็งต้องมียุทธศาสตร์ชัดเจน
ครอบคลุมทุกด้านทุกมิติ ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของพลเมืองทุกคน ทุกคนในชาติต้องมีบทบาทหน้าที่ของตนเอง
“ให้การสร้างชาติเหมือนสร้างครอบครัว
ประเทศเปรียบเหมือนครอบครัว หากคนหนึ่งตกงาน เศรษฐกิจครอบครัว
การอยู่ดีกินดีย่อมเสียหาย หากคนหนึ่งเจ็บป่วย ย่อมกระทบต่อสมาชิกทุกคน”
ผู้นำต้องเป็นผู้เสียสละ
ยิ่งตำแหน่งสูงยิ่งต้องเสียสละมาก มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างทุกด้าน เหมือนพ่อแม่ที่เสียสละ
ปรารถนาดีต่อลูก ทำเพื่อประโยชน์ยั่งยืนของลูกหลาน
(หมายเหตุ : เนื้อหาบทความนี้นำเสนอครั้งแรกในงานครบรอบ
42 ปี สภากรรมกรแห่งชาติ 26 กันยายน 2560)
1 ตุลาคม 2017
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7632 วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2560)
----------------------------
บรรณานุกรม:
1. ASEAN. (2016). ASEAN Statistics Leaflet – Selected Key
Indicators 2016. Retrieved from http://www.aseanstats.org/wp-content/uploads/2016/10/ASEAN_Stats_Leaflet2016_web.pdf
2. Chairman's Statement of the 24th
ASEAN Summit: "Moving forward in Unity to a Peaceful and Prosperous
Community". (2014, May 11). Association of Southeast Asian Nations.
Retrieved from http://www.asean.org/images/documents/24thASEANSummit/24th%20ASEAN%20Summit%20Chairman's%20Statement.pdf
3. Cooper, Andrew Scott. (2011). The Oil Kings: How the
U.S., Iran, and Saudi Arabia Changed the Balance of Power in the Middle East.
New York: Simon & Schuster.
4. Duiker, William J. (2009). Contemporary World History
(5th ed.). USA: Wadsworth.
5. Glaser, Bonnie., Snyder, Scott., & Park, John S.
(2008, January 3). Keeping an Eye on an Unruly Neighbor: Chinese Views of
Economic Reform and Stability in North Korea. United States Institute of
Peace. Retrieved from http://www.usip.org/files/resources/Jan2008.pdf
6. Lankov, Andrei. (2012. May). THE KEYS TO NORTH KOREAN
SURVIVAL. DEFENSE DOSSIER. Retrieved from http://www.afpc.org/files/may2012.pdf
7. Michishita, Narushige. (2010). North Korea's
Military-Diplomatic Campaigns, 1966-2008. Oxon: Routledge.
-----------------------------