รายงานการไต่สวนกรณีอิรัก (The Iraq Inquiry) ที่นำโดยจอห์น ชิลคอต (John Chilcot) ได้ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วยังมีทางเลือกอื่น ยังไม่จำต้องเปิดฉากทำสงครามร่วมกับสหรัฐ แม้ซัดดัม ฮุสเซนเป็นจอมเผด็จการผู้โหดเหี้ยมก็ตาม (undoubtedly a brutal dictator) การตัดสินใจส่วนตัวของนายกฯ โทนี แบลร์ (Tony Blair) ในขณะนั้นเป็นเหตุให้อังกฤษเข้าสู่สงคราม เอกสารที่รัฐบาลแบลร์เสนอต่อสภาล่างเมื่อกันยายน 2002 ไม่มีน้ำหนักพอที่จะสรุปว่าโครงการอาวุธเคมีกับชีวภาพของอิรักกำลังเติบใหญ่
บรรณานุกรม:
รายงานสรุปว่าไม่มีภัยคุกคามที่จวนจะถึงตัว (imminent threat) จากระบอบซัดดัม ฮุสเซน
ข้อเท็จจริงคือหลักฐานที่พยายามชี้ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
(Weapons of Mass Destruction: WMD) ไม่ถูกต้อง (not justified) เพราะก่อนนั้นรัฐบาลอิรักได้ทำลายหมดแล้ว นโยบายรุกรานอิรักจึงมาจาก
“ข่าวกรองและการประเมินผลที่บกพร่อง” ควรใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมต่อไป นอกจากนี้ทั้งๆ
ที่มีคำเตือนมากมายต่อผลของสงครามแต่รัฐบาลไม่ใส่ใจ แผนการรบไม่สมบูรณ์ สรุปคือรัฐบาลไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้
รายงานของชิลคอตระบุว่าหลังเกิดเหตุ 9/11 นายกฯ
แบลร์ขอให้ประธานาธิบดีบุชใจเย็น “อย่าเพิ่งด่วนเข้าจัดการอิรัก” ซึ่ง ณ
ขณะนั้นประธานาธิบดีบุชกำลังคิดเรื่องส่งกองทัพบุกอิรัก แต่หลังการพบปะของ 2 ผู้นำเมื่อเมษายน
2002 จุดยืนของนายกฯ แบลร์ก็เปลี่ยนไป คณะกรรมการข่าวกรองร่วม 2
ประเทศมีข้อสรุปเดียวกันว่าต้องทำสงครามเท่านั้นจึงจะโค่นซัดดัมได้
ระบอบซัดดัมเป็นภัยคุกคาม “ที่ต้องเข้าจัดการ” ทั้งๆ ที่ยังมีเวลา ควรใช้วิธีทางการทูตและอื่นๆ
ก่อน การที่รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจร่วมทำสงครามมาจากแรงผลักดันส่วนตัวของนายกฯ
รายงานยังระบุว่าทั้งประธานาธิบดีบุชกับนายกฯ
แบลร์ต่างรู้ดีกว่าเมื่อโค่นระบอบซัดดัมแล้ว
จะเกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายศาสนาในอิรักอย่างรุนแรง แต่ยังคงเดินหน้าก่อสงคราม
ผลจากการตัดสินใจครั้งนั้นยังส่งผลต่อปัจจุบันทั้งต่ออิรักและภูมิภาคตะวันออกกลาง
จากรายงานดังกล่าวอดีตนายกฯ แบลร์ขออภัย (apologise) ต่อการบาดเจ็บล้มตายในสงคราม แต่ไม่เสียใจ (sorry) ต่อการตัดสินใจครั้งนั้น
เพราะกระทำบนความตั้งใจดีเห็นว่าการโค่นล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซน
“เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด” ทหารอังกฤษที่เสียชีวิตไม่ได้ตายเปล่า ส่วนเรื่องข้อมูลข่าวกรองผิดพลาดไม่ใช่ความผิดของตน
รายงานของจอห์น ชิลคอตให้ความเข้าใจลงลึกในภาพเล็กภาพหนึ่ง
เพิ่มรายละเอียดแก่ส่วนหนึ่งของภาพ ถ้ามองภาพกว้างรอบด้านจะเห็นอีกภาพที่ให้ความเข้าใจที่ครอบคลุมกว่า
เปรียบเหมือนเห็นนกน้อยสีขาวนวล 3 ตัวกำลังโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม แต่ถ้ามองภาพใหญ่จะเห็นท้องฟ้าฝั่งซ้ายที่เมฆดำก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้
พายุกำลังมา
รัฐบาลคลินตันประกาศว่าอิรักมี WMD :
อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD)
กลายเป็นประเด็นสำคัญตั้งแต่หลังสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก (1990-1991) ในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ
เอช.ดับเบิลยู. บุช (George H. W. Bush - บิดาของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช)
คณะมนตรีความมั่นคงมีมติให้อิรักต้องปลอด WMD ทุกชนิด ทีมงานสหประชาชาติ U.N. Special
Commission (UNSCOM) เข้าตรวจสอบค้นหาและยืนยัน การตรวจสอบเต็มด้วยข้อขัดแย้ง
เช่น อิรักไม่ยอมให้ตรวจบางสถานที่ อ้างว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐบางคนเป็นสายลับ
ในทางกลับกันถูกกล่าวหาว่ารายงานเท็จ ปลายเดือนตุลาคม 1998 (สมัยรัฐบาลบิล คลินตัน) รัฐบาลซัดดัมยุติการติดต่อกับ
UNSCOM
รัฐบาลคลินตันตอบโต้ด้วยการโจมตีอิรักด้วยขีปนาวุธกับการทิ้งระเบิดเมื่อกลางเดือนธันวาคม
1998 ประกาศว่าพร้อมดำเนินการทุกอย่างแม้กระทั่งทำสงครามเต็มรูปแบบต่ออิรัก
ทั้งนี้ขึ้นอิรักเอง
แต่สงครามไม่เกิดเพราะคณะมนตรีความมั่นคงมีมติจัดตั้งทีมตรวจสอบชุดใหม่
(United Nation Monitoring, Verification and Inspection Commission: UNMOVIC)
ตามข้อมติ 1284 (1999) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1999
รัฐบาลคลินตันมักพูดถึงภัยคุกคามจาก WMD และเชื่อว่าประเทศเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย เชื่อมโยง
WMD ของอิรักกับการก่อการร้าย
เชื่อว่าอิรักยังมี WMD อยู่ในครอบครองจำนวนหนึ่ง
เช่น สารวีเอ็กซ์ (VX)
ประธานาธิบดีบิล คลินตันกล่าวว่าเป้าหมายสุดท้ายซึ่งเป็นความคาดหวังระยะยาวคือ
“เปลี่ยนรัฐบาลแบกแดดให้เป็นรัฐบาลใหม่ ที่ให้คำมั่นว่าจะเป็นตัวแทนของประชาชนและเคารพต่อประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ปราบปรามประชาชน” ส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง
เป้าหมายนี้บรรลุผลในรัฐบาลต่อมา
นั่นคือสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
บุชวางกรอบความชอบธรรมแก่การทำสงคราม
:
20 กันยายน 2001 9 วันหลังเกิดเหตุ 9/11 ประธานาธิบดีบุชแถลงต่อรัฐสภาว่าอัลกออิดะห์คือผู้ลงมือ
2 สัปดาห์ต่อมาสหรัฐกับอังกฤษร่วมโจมตีทิ้งระเบิดอัฟกานิสถาน ภายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันก็สามารถยึดครองกรุงคาบูล
แต่สงครามต่อต้านก่อการร้ายเพิ่งจะเริ่มต้น
เมื่อเข้าปี 2002 รัฐบาลบุชให้ความสนใจต่ออิรัก
หน่วยข่าวกรองหลายหน่วยรายงานตรงกันว่าอิรักยังคงพัฒนาและผลิต WMD รัฐบาลอิรักไม่ได้ให้ความร่วมมือการตรวจสอบอย่างเต็มที่
29 มกราคม 2002 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช กล่าวสุนทรพจน์ใน State
of the Union Address ประกาศว่าอิรักเป็นหนึ่งใน
“axis of evil” ร่วมกับอิหร่าน
เกาหลีเหนือ
กลางปี 2002 ประกาศหลักนิยม
“ชิงลงมือก่อน” (preemption) สหรัฐจะโจมตีทุกประเทศที่เห็นว่าเป็นภัยคุกคามจวนตัว
(imminent threat)
หลักนิยมชิงลงมือก่อนไม่ให้ความสำคัญกับการได้รับอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
ไม่สนใจว่าประเทศอื่นๆ จะคิดเห็นอย่างไร เป็นการลงมือฝ่ายเดียว ให้เหตุผลว่าเป็นการทำสงครามเพื่อป้องกันตัวเอง
เมื่อถึงตอนนี้นักวิเคราะห์
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นตรงกันว่ารัฐบาลบุชคิดจะทำสงครามใหญ่ และเป็นเช่นนั้นจริงสหรัฐกับพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษส่งกองทัพโค่นล้มระบอบซัดดัม
ฮุสเซนโดยปราศจากข้อมติรับรองจากสหประชาชาติ
หลังล้มระบอบซัดดัม รัฐบาลบุชพยายามค้นหา WMD อยู่หลายปีจากหลายทีม ในที่สุดยอมรับว่าแท้จริงแล้วอิรักไม่มี
WMD นอกจากนี้นายพล Colin Powell
ยอมรับว่าสหรัฐไม่มีหลักฐานใดๆ
พิสูจน์ว่ารัฐบาลซัดดัมมีความเชื่อมโยงกับพวกอัลกออิดะห์
ที่ผ่านมาเป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น
เมื่อถึงตอนนี้รัฐบาลบุชให้เหตุผลใหม่ว่าการล้มซัดดัม
ฮุสเซนเป็นเรื่องดีเพราะได้จำกัดเผด็จการ
อิรักเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
เป็นข้อแก้ตัวเดียวกับที่อดีตนายกฯ แบลร์ใช้
คำถามสำคัญที่ต้องระลึกถึงเสมอคือสงครามโค่นล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซนช่วยลดก่อการร้ายหรือไม่
หรือยิ่งเป็นเหตุกระตุ้นให้เกิดผู้ก่อการร้ายสารพัดกลุ่ม รวมทั้ง IS/ISIL/ISIS ผลการโค่นล้มระบอบซัดดัมทำให้การเมืองอิรักแตกแยก
สังคมไร้ขื่อแป กลายเป็นรัฐล้มเหลวหรือกึ่งล้มเหลว
ย้อนหลังกลับไป ตั้งแต่สมัยสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก (1990-1991)
ฝ่ายพันธมิตรไม่เห็นด้วยกับความคิดล้มระบอบซัดดัมด้วยเห็นว่าจะทำให้ประเทศแยกเป็นเสี่ยง
ควบคุมไม่ได้ ยิ่งเป็นเหตุทำให้ภูมิภาคขาดเสถียรภาพ
ประเด็นที่ต้องระลึกเสมอคือตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกหลายประเทศมีข้อสรุปแล้วว่าไม่ควรล้มระบอบซัดดัม
ข้อสรุปนี้คงอยู่เรื่อยมา ทั้งรัฐบาลบุช
(ลูก) กับรัฐบาลแบลร์ต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีแต่ไม่สนใจ รายงานของชิลคอตคือหลักฐานล่าสุดที่ยืนยันเรื่องนี้
นายโคฟี่ อันนัน (Kofi Annan) อดีตเลขาธิการสหประชาชาติกล่าวเมื่อปลายเดือนกันยายน
2015 ถ้าวิเคราะห์จากหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ การที่สหรัฐกับพันธมิตรส่งกองทัพรุกรานอิรัก ล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซนนั้นละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
สิ่งที่สหรัฐกับพันธมิตรทิ้งไว้ให้กับอิรักคือความวุ่นวายภายในประเทศ
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป
:
รายงานของจอห์น ชิลคอตไม่เพียงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นที่บ่งบอกความไม่ชอบมาพากลของการรุกรานโค่นล้มระบอบซัดดัม
ฮุสเซนจากมุมภายในประเทศอังกฤษ ถ้ามองภาพรวมมองย้อนอดีตจะพบว่านโยบายของรัฐบาลสหรัฐมีความต่อเนื่องทั้งแต่สมัยบุช
(ผู้พ่อ) แม้ซัดดัมยอมแพ้แต่เรื่องไม่จบ WMD กลายเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบติดตาม
รัฐบาลต่อมาคือรัฐบาลคลินตันเป็นชุดที่ได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่นานหลายปี
มีทั้งความร่วมมือและความขัดแย้ง ฝ่ายอิรักยืนยันว่าได้ทำลายอาวุธต้องห้ามหมดแล้ว
แต่ฝ่ายสหรัฐเชื่อในข้อมูลว่ายังซ่อน WMD จำนวนหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยถึงแนวคิด “ล้มระบอบซัดดัม”
โศกนาฏกรรม 9/11 เร้ากระแสสังคมอเมริกันให้ทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายทั่วโลก
ในช่วงนั้นชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศพร้อมใจกันสนับสนุนรัฐบาลบุชที่จะส่งกองทัพล้มระบอบซัดดัม ด้วยเหตุผลว่าอิรักมี WMD และสนับสนุนผู้ก่อการร้าย
วันหนึ่งผู้ก่อการร้ายอาจได้อาวุธร้ายแรงจากอิรักและโจมตีสหรัฐ
สหรัฐจึงชิงโจมตีก่อน
ทุกวันนี้มีข้อสรุปที่ยอมรับแล้วว่าอิรักไม่มี WMD
ซัดดัมไม่ได้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ตามที่รัฐบาลบุชกล่าวอ้าง
อิรักไม่ใช่ภัยคุกคามจวนตัว การทำสงครามล้มระบอบซัดดัมไม่ช่วยเรื่องต่อต้านก่อการร้าย
ซ้ำยังกระตุ้นให้เกิดผู้ก่อการร้ายสารพัดกลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่ทุกคนรู้จักดีคือ IS/ISIL/ISIS
อิรักกลายเป็นรัฐล้มเหลว
ทั่วโลกต้องหวาดผวา IS
เป็นคำถามที่ดีจะถ้าถามว่าระบอบประชาธิปไตยอังกฤษกับสหรัฐช่วยให้ 2
ประเทศนี้ก่อสงครามที่สมควรทำหรือไม่ รัฐบาลเช่นนี้เหมาะที่จะเป็นผู้รักษาสันติภาพโลกหรือไม่
10 กรกฎาคม 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 7185 วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2559)
-------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
12 ปีนับจากโค่นล้มระบอบซัดดัม
ฮุสเซนและรัฐบาลบุชประกาศว่าจะสร้างอิรักให้เป็นประชาธิปไตย
เป็นแบบอย่างแก่ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง
จากบัดนั้นจนบัดนี้อิรักยังไม่เคยเป็นประชาธิปไตยจริงๆ
อีกทั้งสถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม สังคมแตกแยกร้าวลึก
สงครามกลางเมืองทำให้ผู้คนล้มตายปีละนับพันนับหมื่น
โดยยังไม่เห็นวี่แววว่าเมื่อไหร่ความสงบสุขจะกลับคืนมา
อิรักกับซีเรียเป็น 2
ตัวอย่างว่านโยบายกำจัดเผด็จการเป็นต้นเหตุของสงครามกลางเมือง ความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด
กลายเป็นรัฐล้มเหลว การปล่อยให้เผด็จการดำรงอยู่ต่อไปเป็นโทษน้อยกว่า การกำจัดเผด็จการไม่เป็นเหตุให้ประเทศกลายเป็นประชาธิปไตยเสมอไป
ถ้ามองว่าเผด็จการหมายถึงประชาชนถูกกดขี่
เมื่อเป็นรัฐล้มเหลวประชาชนถูกกดขี่ข่มเหงยิ่งกว่า ชีวิตอยู่ในอันตรายมากกว่า แต่รัฐบาลโอบามายังยืนหยัดนโยบายโค่นเผด็จการไม่ต่างจากรัฐบุชและอีกหลายชุด
1. 5 revelations from Chilcot’s damning report into the Iraq
war. (2016, July 6). RT. Retrieved from https://www.rt.com/uk/349672-chilcot-findings-iraq-blair/
2. Baker, Peter. (1998, December 16). Clinton Says Iraqis
Have 'Backed Down'. The Washington Post. A01.
3. Braude, Joseph. (2003). The New Iraq. New York :
Basic Book.
4. Committee of Privy Counsellors. (2016, July 6).
The Report of the Iraq Inquiry: the Executive Summary. Retrieved from http://www.iraqinquiry.org.uk/media/246416/the-report-of-the-iraq-inquiry_executive-summary.pdf
5. Dathan, Matt. (2016, July 6). Grovelling Blair's voice
cracks as he finally says sorry for Iraq War after devastating Chilcot report -
but he STILL defiantly insists 'there were no lies' and 'I would take the same
decision again'. Daily Mail. Retrieved from
http://www.dailymail.co.uk/news/article-3676847/I-responsibility-mistakes-Tony-Blair-says-decision-war-Iraq-taken-good-faith.html
6. Duiker, William J. (2009). Contemporary World History
(5th ed.). USA: Wadsworth.
7. Engdahl, William. (2004). A Century of War:
Anglo-American Oil Politics and the New World Order, (Revised Ed.). London:
Pluto Press.
8. Harding, Luke. (2016, July 6). Chilcot delivers crushing
verdict on Blair and the Iraq war. The Guardian. Retrieved from
https://www.theguardian.com/uk-news/2016/jul/06/chilcot-report-crushing-verdict-tony-blair-iraq-war
9. Ismael, Tareq Y., & Haddad, William W. (2004). Iraq:
The Human Cost of History.USA: Pluto Press.
10. Justin P. Coffey and Paul G. Pierpaoli Jr.. (2010). Bush,
George Walker. In The Encyclopedia of Middle East Wars: The United States
in the Persian Gulf, Afghanistan, and Iraq Conflicts. (pp.251-255). California
: ABC-CLIO, LLC.
11. McSmith, Andy., & Cooper, Charlie. (2016, July
6). Chilcot report: Tony Blair convinced himself Iraq had WMDs – but
intelligence 'did not justify' his certainty. The Independent. Retrieved
from
http://www.independent.co.uk/news/uk/politics/chilcot-report-inquiry-tony-blair-iraq-war-weapons-of-mass-destruction-evidence-verdict-a7122361.html
12. United Nations. (1999, December 17). Security Council,
Resolution 1284 (1999). Retrieved from http://www.un.org/Depts/unscom/Keyresolutions/sres99-1284.htm
13. U.S. Department of State. (1998, February 13). Iraq
Weapons of Mass Destruction Programs. U.S. Government White Paper. Retrieved
from http://www.state.gov/www/regions/nea/iraq_white_paper.html
14. West Facing Diplomatic Dilemma Over Syria After Putin Offer.
(2015, September 29). Sputnik News. Retrieved from http://sputniknews.com/europe/20150929/1027712250/west-syria-russia-ISIL.html
-----------------------------