การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐไต้หวันกับจีน อีกก้าวของการรวมชาติ

เป็นเวลา 65 ปีหลังจากที่ฝ่ายเจียง ไคเช็ค พ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์จีน และได้ถอนร่นมาปักหลักที่ไต้หวัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนกับไต้หวันได้ร่วมกันประชุมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก การประชุมครั้งนี้มี นายจาง จื้อจวิน (Zhang Zhijun) หัวหน้าทีมฝ่ายจีนได้ประชุมกับนายหวัง อวี้ฉือ (Wang Yu-chi) ประธานฝ่ายไต้หวัน
ผลลัพธ์การประชุม :
            ประการแรก เปิดช่องทางการเสื่อสารระหว่าง 2 ฝ่าย
            ตัวแทนจาก 2 ฝ่ายได้ตกลงเปิดช่องทางการเสื่อสารระหว่างกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ 2 ฝ่ายสามารถติดต่อกันโดยตรงง่ายขึ้น ตัวแทนฝ่ายไต้หวันพูดว่า “สามารถใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อพูดคุยกันได้เลย” ไม่จำต้องมีสายด่วนพิเศษแต่อย่างไร ความสำเร็จของช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ฝ่าย ในมุมหนึ่งอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในอีกมุมคือมาบัดนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ 2 ฝ่ายสามารถติดต่อกันและกันได้ทันที

            ประการที่สอง ไต้หวันแสดงท่าทีต้องการเข้าร่วม TPP RCEP
            นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า เรื่องสำคัญที่ไต้หวันต้องการคือ การได้สิทธิ์เข้าร่วม Trans-Pacific Partnership (TPP) กับ Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) ที่กำลังประชุมอยู่ในขณะนี้ ส่วนจีนต้องการให้ข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Framework Agreement) ระหว่างจีนกับไต้หวันดำเนินต่อจนเสร็จสมบูรณ์ และต้องการเห็นว่าไต้หวันยังยึดติดกับนโยบายจีนเดียวก่อนที่จะยอมให้ไต้หวันไปเจรจาเข้ากลุ่มความร่วมมือการค้าอื่นๆ
            การแสดงท่าทีของเจ้าหน้าที่ไต้หวันดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงการหยั่งเชิง ดูปฏิกิริยาของฝ่ายจีน เนื่องจากข้อเรียกร้องของไต้หวันคือต้องการมีส่วนร่วมในองค์กรระหว่างประเทศ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่าง RCEP ซึ่งจำต้องได้รับความเป็นชอบจากรัฐบาลจีน นอกจากนี้ การพบปะครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรกของระดับเจ้าหน้าที่ ความสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายจำต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ

            ประการที่สาม เรื่องการดูแลสุขภาพนักเรียนนักศึกษา
            ประเด็นหนึ่งที่พูดคุยคือการอนุญาตให้นักศึกษาชาวจีนในไต้หวันได้รับบริการตามระบบประกันสุขภาพของไต้หวัน เช่นเดียวกับนักเรียนไต้หวันที่จะได้รับบริการตามระบบประกันสุขภาพของประเทศจีน แต่การประชุมไม่มีข้อสรุปเรื่องนี้
            ผลลัพธ์ทั้ง 3 ข้อรวมทั้งประเด็นอื่นๆ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นไปตามที่ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายได้เอ่ยปากก่อนแล้วว่าการพบปะรอบนี้จะไม่มีการลงนามในเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรก และทุกอย่างก็เป็นไปตามคำกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากผลการประชุมเจรจาหลายอย่างน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ได้ตกลงล่วงหน้าแล้ว ผลลัพธ์หลายอย่างที่ปรากฏจึงเป็นเรื่องของพิธีการ การแสดงออกให้สาธารณชนเห็นอย่างเป็นทางการ

            ประการที่สี่ ทางการจีนปฏิเสธการพบปะระหว่างผู้นำประเทศทั้ง 2 ฝ่าย
            ก่อนการประชุมเจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นการปูทางสำหรับกลไกการสื่อสารระหว่างกัน รวมทั้งการพบปะระหว่างประธานาธิบดีของทั้ง 2 ฝ่าย
            นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าเมื่อปีที่แล้ว หัวหน้าตัวแทนฝ่ายจีนกับไต้หวันได้พบปะเป็นการส่วนตัวในเวทีการประชุมเอเปก ที่บาหลี อินโดนีเซีย ในปีนี้จีนจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม (จะจัดงานประชุมสุดยอดประจำปีในเดือนตุลาคม) จึงมีเสียงจากฝ่ายไต้หวันที่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ประธานาธิบดีของทั้งสอง 2 ฝ่ายจะได้พบปะพูดคุย ซึ่งฝ่ายจีนยังลังเลใจ เพราะการพบปะจะเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลจีนยอมรับรัฐบาลไต้หวัน
            อุปสรรคการพบปะระหว่างผู้นำ 2 ฝ่ายคือ จะพบปะในฐานะใด เป็นการยอมรับอธิปไตยของไต้หวันหรือไม่ เนื่องจากฝ่ายจีนยังไม่ยอมรับอธิปไตยของไต้หวัน ดังนั้น การพบปะจึงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว แต่ฝ่ายไต้หวันคงอยากให้พบปะในฐานะระหว่าง 2 “ประธานาธิบดี”
            ในอีกมุมหนึ่ง วันที่ 2 ประธานาธิบดีพบปะอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ตาม คงเป็นวันที่ความสัมพันธ์ของ 2 ฝ่ายได้พัฒนาอย่างแนบแน่นมากแล้ว และน่าจะเป็นการพบปะเพื่อเจรจาเรื่องสำคัญ เป็นวันประวัติศาสตร์ เพราะประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาพูดนั้นต้องเป็นเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องอธิปไตยของไต้หวัน สิ่งใดที่ฝ่ายหนึ่งต้องการ อีกฝ่ายย่อมต้องเรียกร้องกลับด้วยผลประโยชน์ระดับเท่ากันหรือใกล้เคียง
            เรื่องไม่จบลงเท่านี้ เพราะประเด็นไต้หวันไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐบาลจีนกับไต้หวันหรือชาวไต้หวันเท่านั้น ยังต้องมองในมุมกว้างกว่านี้ โดยเฉพาะผลประโยชน์ของสหรัฐที่คอยดูแลเรื่องความมั่นคงให้กับไต้หวันมาตลอด ต้องมองยุทธศาสตร์ภาพกว้างในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
            ดังนั้น บริบทอันสุกงอมที่จะเอื้อให้ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายได้มาพบปะกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำตามความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

            มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ซึ่งสนับสนุนนโยบายรวมชาติ อาจต้องการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพียงเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ว่าตนคือผู้นำไต้หวันคนแรกที่ได้พบปะผู้นำจีน และช่วยปูทางสู่การรวมชาติในอนาคต แต่ผลสรุปคือ ทางการจีนปฏิเสธการพบปะดังกล่าวในการประชุมเอเปกปีนี้ นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ามาจากเหตุผลพื้นฐานว่าจีนยังไม่ยอมรับอธิปไตยของไต้หวัน จึงไม่อาจพบกันในเวทีการประชุมระหว่างประเทศ มีข้อสังเกตว่าตลอดเวลาของการหารือ ฝ่ายจีนจะเรียกประธานาธิบดีหม่าว่า “นายหม่า” (Mister Ma) หรือ “ผู้นำหม่า” (Leader Ma)
            การประชุมเอเปกปีนี้ ประธานาธิบดีหม่าอาจไม่ไปร่วมงาน คงส่งตัวแทนไปเท่านั้น

การเยือน “ระดับเจ้าหน้าที่รัฐ” จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ :
             เมื่อพวกชาตินิยมพ่ายแพ้ได้พากลุ่มผู้สนับสนุนราว 2 ล้านคนอพยพย้ายมาอยู่ที่เกาะไต้หวัน และจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง ในทศวรรษ 1990 รัฐบาล 2 ฝ่ายเริ่มการติดต่อซึ่งกันและกัน
            ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งไม่ยอมเจรจากับรัฐบาลไทเป เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งไม่ยอมรับรัฐบาลไทเปว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม มองว่าเป็นพวกกบฏที่หนีออกไปตั้งมั่นที่เกาะไต้หวันซึ่งจีนถือว่าเป็นมณฑลหนึ่งของจีนมาโดยตลอด มีนโยบายห้ามไต้หวันประกาศว่าเป็นรัฐอธิปไตย
            ตลอดเวลาที่ผ่านมา 2 ฝ่ายจะพูดคุยผ่านบุคคลที่ไม่นับว่าข้าราชการหรือคนของทางการเต็มตัว แต่ด้วยการติดต่อสัมพันธ์ ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นจะว่าไปแล้ว หากจะใช้ช่องทางเดิมดำเนินต่อไปก็ย่อมทำได้ แต่ครั้งนี้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ที่สำคัญยิ่ง นั่นคือเป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ “ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ “ของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมีค่าเท่ากับรัฐบาลปักกิ่งยอมรับรัฐบาลไทเปในระดับหนึ่ง แม้ว่าสื่อ Xinhua กับสื่ออื่นๆ ของจีน จะเรียกนายหวัง อวี้ฉือ เจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแทนฝ่ายไต้หวันว่าเป็น “ประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ของฝ่ายไต้หวัน” (head of the Mainland Affairs Council on the Taiwan side) การเรียกเช่นนี้ชี้ว่ารัฐบาลจีนยังไม่ได้ยอมรับอธิปไตยของไต้หวัน ซึ่งมีชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐจีน (Republic of China)

            อย่างไรก็ตาม การยอมรับฐานะ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไต้หวัน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่รัฐบาลจีนเริ่มแสดงท่าทีบางอย่างที่ “ยอมรับ” รัฐบาลไทเปมากขึ้น และเมื่อมีการพบปะอย่างเป็นทางการครั้งแรกย่อมน่าจะมีในครั้งต่อๆ ไป กลายเป็นการติดต่อระหว่าง “ฝ่ายราชการ” กับ “ฝ่ายราชการ”
            ดังนั้น การเจรจาหารือรอบนี้ แม้ไม่ได้ประสบผลสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ในเชิงสัญลักษณ์ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่ายได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว

วิเคราะห์องค์รวม : 2 ฝ่ายเห็นว่าปากท้องเรื่องสำคัญ
            หลังการปฏิวัติสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และจีนได้เปลี่ยนผู้นำประเทศจากประธานเหมา เจ๋อตง เป็นประธานเติ้ง เสี่ยวผิง จีนก็เริ่มดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เริ่มใช้กลไกตลาด เปิดเศรษฐกิจบางส่วนให้เชื่อมต่อกับตลาดโลก หลังจากที่ปิดประเทศไม่ติดต่อค้าขายกับประเทศที่ไม่ใช่สังคมนิยม เนื่องจากเริ่มตระหนักแล้วว่าประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องไม่แพ้เรื่องการเมืองการปกครอง
            เช่นเดียวกับรัฐบาลไต้หวัน หลังจากที่มัวครุ่นคิดเรื่องการยกกองทัพข้ามช่องแคบไต้หวันเพื่อกลับไปกอบกู้เอาดินแดนมาตุภูมิคืนจากพรรคคอมมิวนิสต์อยู่นานหลายปี ก็เริ่มตระหนักว่าชาวไต้หวันให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่น้อยกว่าเรื่องการเมืองการปกครอง
            ด้วยความที่ 2 ฝ่ายเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ และด้วยแรงผลักดันของนักธุรกิจหัวใสที่เห็นช่องทางทำธุรกิจ ที่สุดแล้ว 2 ฝ่ายก็หันเข้าหากันด้วยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพื่อปากท้องของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เก็บเรื่องความขัดแย้งในยุคที่ความเห็นต่างทางอุดมการณ์การเมืองเป็นความขัดแย้งรุนแรง ให้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ ที่รุ่นหลานรุ่นเหลนจะได้ศึกษาต่อไป

            เป็นเวลา 65 ปีแล้วนับจากฝ่ายชาตินิยมถอยร่นมาปักหลักที่เกาะไต้หวัน ณ วันนี้ ผลจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ยังเป็นมรดกตกทอดจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน เรื่องความแตกต่างทางการเมืองการปกครองยังเป็นประเด็นที่ต้องถกกันต่อไป ทางออกที่ดีอาจเป็นการปล่อยให้คนรุ่นหลานรุ่นเหลนในอนาคตเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย เมื่อถึงเวลานั้นการตัดสินใจอาจเป็นเรื่องง่าย เพราะอยู่ภายใต้บริบทที่เอื้ออำนวย คนไต้หวันกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่ใครอื่นไกล ตามหลักรัฐชาติ (Nation-state) สมัยใหม่ถือว่าคนชาติ (nation) เดียวกัน การรวมตัวแล้วแยกออก การแยกออกแล้วรวมตัวกันใหม่ เป็นเรื่องปกติของความเป็นไปในโลกนี้
            ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าการเมืองการปกครอง คือ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ผู้คนทั้ง 2 ฝ่ายจำนวนนับสิบนับร้อยล้านคน “กำลังดิ้นรนทุกวัน” เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ ทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างอารยชน นี่ควรเป็นงานหลักของผู้ปกครองจีน ไม่ว่าจะจีนไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ หรือจีนใดๆ ก็ตาม
16 กุมภาพันธ์ 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6312 วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557) 
-----------------
บรรณานุกรม:
1. (Cross-Strait affairs chiefs hold first formal meeting. (2014, February 11). People’s Daily/Xinhua. Retrieved from http://english.peopledaily.com.cn/90785/8533026.html)
(Pu Zhendong and Zhao Shengnan. (2014, February 11). Meeting heralds 'new model' for cross-Straits talk. Retrieved from http://www.chinadaily.com.cn/china/2014-02/11/content_17276099.htm)
(China, Taiwan hold first direct talks since 1949 split. (2014, February 11). The Washington Post. Retrieved from http://www.washingtonpost.com/world/china-taiwan-hold-first-direct-talks-since-1949-split/2014/02/11/beea8a92-92f3-11e3-b3f7-f5107432ca45_story.html)
 (EDITORIAL: Wang-Zhang: What lies beneath? (2014, February 13). Taipei Times. Retrieved from http://www.taipeitimes.com/News/editorials/archives/2014/02/13/2003583371)
(Taiwan's mainland affairs chief pays Sun Yat-sen tribute. (2014, February 12). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/12/c_133109252.htm)
(Wang-Zhang meeting gets on the way in Nanjing. (2014, February 11). Taiwan News. Retrieved from http://www.taiwannews.com.tw/etn/news_content.php?id=2410296)
(DPP ex-leader cautions about direct China contacts. (2014, February 14). Taiwan News. Retrieved from http://www.taiwannews.com.tw/etn/news_content.php?id=2413416)
(Beijing rejects Ma-Xi meeting at APEC. (2014, February 15). Central News Agency. Retrieved from http://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2014/02/15/2003583541)
(Wang-Zhang meeting gets on the way in Nanjing. (2014, February 11). Taiwan News. Retrieved from http://www.taiwannews.com.tw/etn/news_content.php?id=2410296)
(Talk of the Day -- Interpreting Wang's historic visit. (2014, February 13). Central News Agency. Retrieved from http://www.taiwannews.com.tw/etn/news_content.php?id=2412555)
(Shirk, Susan L. (2007). China: Fragile Superpower: How China's Internal Politics Could Derail 8Its Peaceful Rise. New York: Oxford University Press.)
----------------------