มีจุดเริ่มต้นจากบุคคลที่ต่อต้านการปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในยุโรปในปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1789 (กลุ่มคนที่ปฏิวัติเป็นพวกเสรีนิยมดั้งเดิม) กลุ่มคนเหล่านี้ไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ชนิดถอนรากถอนโคนจากระบบการปกครอง ระบบธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนาน เช่น จากการปกครองโดยระบอบกษัตริย์มาเป็นการปกครองโดยคณะผู้ปกครองสามัญชน หรือการที่ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพมากกว่าในอดีตมาก
ลักษณะพื้นฐานของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม
“รูปแบบของอนุรักษ์นิยม”
1. ประเพณี (Tradition) ประเพณีคือสิ่งที่ได้สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วอายุคน
เป็นสิ่งที่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมา
เป็นสติปัญญาที่ค่อยๆ สะสม ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าดีเหมาะสมแล้ว จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าดีเหมาะสมแล้ว
ควรที่คนรุ่นหลังจะปฏิบัติสืบทอดต่อไป ดังนั้น
บรรดาสถาบันที่เคียงคู่กับประเพณีต้องได้รับการสืบทอดต่อไปด้วย เช่น
เมื่ออังกฤษเดิมมีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ดำรงอยู่ต่อไป
2. ปฏิบัตินิยม (Pragmatism)
อนุรักษ์นิยมเชื่อว่าความคิดเชิงเหตุผลของมนุษย์นั้นจำกัดไม่อาจเข้าใจความซับซ้อนของโลกได้ทั้งหมดหรือได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
ดั้งนั้นระบบเหตุผลจึงไม่อาจยึดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป (พยายามใช้เหตุผลแต่ความคิดความเข้าใจมนุษย์ไม่สมบูรณ์) ตรงกันข้ามประสบการณ์ การปฏิบัติที่ทำต่อเนื่องกันมา เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผล
เป็นแนวทางที่ควรยึดไว้มากกว่า
นักอนุรักษ์นิยมจึงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ในอีกด้านหนึ่งเห็นด้วยกับการทดลองของใหม่ หากจำต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองบริบทใหม่ เพียงแต่ห้ามทดลองแบบสุดโต่ง หรือปฏิบัติแตกต่างจากเดิมอย่างสุดโต่ง จึงชอบที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป
เป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่เรื่องของการยึดหลักการเหตุผล แต่คือความอยู่รอด
3.
ความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ (Human Imperfection) อนุรักษ์นิยมมองมนุษย์ในแง่ลบว่าเห็นแก่ตัว มากในตัณหา
และมุ่งใช้อำนาจในทางมิชอบ ดังนั้น
หากปล่อยให้มนุษย์ใช้ความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ย่อมจะก่อปัญหาอาชญากรรม
สร้างปัญหาแก่สังคม อีกทั้งมนุษย์ยังต้องการการพึ่งพิงคนอื่น
แสวงหาความมั่นคงปลอดภัย ด้วยเหตุนี้เอง สังคมจะต้องดำเนินอย่างมีระบบ มีแบบแผน
มีกฎเกณฑ์และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จึงจำเป็นต้องมีรัฐที่เข้มแข็ง (Strong State )
4. อินทรียภาพ (Organism) อนุรักษ์นิยมมองสังคมแบบองค์รวม
เปรียบเสมือนร่างกายที่ประกอบจากอวัยวะหลายอย่าง
แต่ละอวัยวะประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อ (tissue) จำนวนมาก
ซึ่งแต่ละเนื้อเยื่อมาจากเซลที่รวมตัวกัน ปัจเจกชนแต่คนเป็นเซลหนึ่งเซลของร่างกาย
เซลหรือปัจเจกชนไม่สามารถดำรงอยู่ตามลำพังได้
แต่การดำรงอยู่ได้มาจากการดำรงอยู่ได้ร่วมกันของทั้งร่างกาย (คือทั้งสังคม)
หากสังคมล่มสลายปัจเจกชนก็จะพลอยดำรงอยู่ไม่ได้ด้วย ดังนั้นปัจเจกชนต้องอยู่ร่วมในสังคมโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
มีบทบาทหน้าที่ที่ตนต้องกระทำ
เหมือนเซลที่มีหน้าที่ของตนเองเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะ
ภายใต้การยึดโยงด้วยอุดมการณ์
ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบเนื่องดำเนินมาและยึดคนทุกคนไว้ในสังคม
5. ลำดับชั้น (Hierarchy) ด้วยเหตุที่อนุรักษ์นิยมมองสังคมแบบองค์รวมเหมือนเซลที่รวมกันเป็นร่างกายเดียวกัน
จึงมีการแบ่งบทบาท จัดลำดับความสำคัญของคนในสังคม ยกตัวอย่างเช่น
คนที่มีอำนาจปกครองย่อมปกครองเพื่อความผาสุกของคนใต้การปกครอง
คนร่ำรวยมีบทบาทต้องช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
6. อำนาจหน้าที่ (Authority)
หากศึกษาเรื่องอุดมการณ์เสรีนิยมจะพบว่า
อำนาจเป็นของปัจเจกบุคคลทุกคน
ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากปัจเจกบุคคลอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น
อำนาจจึงมาจากล่างขึ้นบน
ตรงกันข้าม
อนุรักษ์นิยมเชื่อว่าอำนาจมาจากเบื้องบน (หรือบนลงล่าง)
เป็นธรรมดาที่พ่อแม่มีอำนาจเหนือลูก (ลูกจะมีอำนาจเหนือพ่อแม่แบบล่างขึ้นบนไม่ได้)
ครูมีอำนาจเหนือศิษย์ ดังนั้น ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่เหมือนศิษย์ต้องเชื่อฟังครู
และผู้ปกครองมีอำนาจอันชอบธรรมในการสั่งให้ประชาชนทำหรือไม่ทำอะไร
เพราะรู้ดีกว่าว่าอะไรควรไม่ควรอย่างไร
อย่างไรก็ตามอนุรักษ์นิยมเน้นว่าการใช้อำนาจต้องใช้ด้วยเจตจำนงที่ชอบและใช้ในขอบเขตที่เหมาะสม
เช่น
พ่อมีสิทธิทำโทษลูกแต่ไม่ใช่เพราะเพียงต้องการระบายอารมณ์หรือทำโทษเกินกว่าเหตุ
รัฐบาลที่ดีในทัศนะของนักอนุรักษ์นิยม
คือ รัฐบาลแบบพ่อขุนอุปถัมภ์ (Paternalism) ปฏิบัติต่อประชาชนไม่ต่างจากพ่อปกครองลูก
รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีสำหรับลูก และลูกต้องให้ความเคารพ
ยำเกรงและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อเป็นการตอบแทน
7. ทรัพย์สิน (Property) อนุรักษ์นิยมมองทรัพย์สินในแง่บวกว่าบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดและการทำงานหนัก
และเห็นว่าประชาชนมีสิทธิในทรัพย์สิน
เพราะคนที่มีทรัยพ์สินมากย่อมมีความมั่งคงและเป็นการแสดงถึงสถานภาพทางสังคม เช่น
คนร่ำรวยย่อมมีบ้านหลังใหญ่กว่า
มีเสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพงเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
ต่างมีวิถีดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม ผู้มีสิทธิในทรัพย์สินต้องไม่ใช้ทรัพย์สินในทางที่เป็นอันตรายหรือทำลายสังคม
เพราะเขาต้องเห็นถึงสวัสดิภาพความสงบสุขของสังคมด้วย นอกจากนี้
ทรัพย์สินเป็นสิ่งที่สืบทอดได้ ดังนั้น
คนรุ่นปัจจุบันจะต้องมีหน้าที่สืบทอดรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป
ผลคือเกิดความมั่นคงทางครอบครัว ทางสังคม
ในอีกแง่หนึ่ง
บุคคลที่มีทรัพย์สินมากย่อม “มีส่วนได้ส่วนเสีย” (a stake) กับสังคม
พวกเหล่านี้จะพยายามปกป้องไม่ให้สังคมตกอยู่ในสภาพไร้ขื่อแปหรือไร้กฎหมาย
ซึ่งจะเป็นอีกแรงหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมในการรักษาความเจริญ
ความสงบสุขของสังคม
คำถามเพื่อการอภิปราย
ท่านเห็นด้วยกับลักษณะพื้นฐานของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เรื่องทรัพย์สิน หรือไม่
อย่างไร จงอธิบาย
|
“รูปแบบของอนุรักษ์นิยม”
มีวิธีการแบ่งหลายอย่าง
ในที่นี้จะขอนำเสนอ 3 รูปแบบ คือ
1.
อนุรักษ์นิยมดั้งเดิม (Classical conservatism
หรือ institutional conservatism)
อนุรักษ์นิยมดั้งเดิมมีจุดเริ่มต้นจากความเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและได้วางโครงสร้างทางสังคมไว้
สิ่งที่เป็นอยู่จึงเป็นสิ่งที่ดีและต้องรักษาไว้
ดังนั้นอุดมการณ์นี้จึงต่อต้านการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองหรือสถาบันทางสังคมอย่างรวดเร็ว
หรือกล่าวอีกนัยว่าเป็นอุดมการณ์ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงหรืออุดมการณ์ใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ยึดอุดมการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย
เพียงแต่ขอให้เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ขัดต่อหลักการดั้งเดิม
บางคนอาจกล่าวได้ว่า
กลุ่มคนที่ยึดอนุรักษ์นิยมเป็นพวกหัวโบราณ
เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund
Burke, 1729-1797) เป็นคนหนึ่งที่เสนออุดมการณ์นี้
โดยการที่เขาวิพากษ์การปฎิวัติฝรั่งเศสที่เปลี่ยนการเมือง
ล้มล้างอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น
เบิร์ก ต่อต้านหลักการที่ว่าหากแนวคิดใหม่มีเหตุผลที่ดีกว่าก็จะถูกต้องสมควรเปลี่ยนแปลงตามเหตุผลนั้น
เพราะ เบิร์ก เชื่อว่าขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษคือสิ่งที่ปฏิบัติกันมา
เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหลายชั่วคนได้ค่อยปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ผ่านการพิสูจน์ว่าถูกต้องเหมาะสมมาอย่างยาวนาน ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นความจริง
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเพียงนามธรรม เป็นเพียงความคิดของปัจเจกหรือกลุ่มคนที่ไม่ยังไม่ได้พิสูจน์ได้อย่างแท้จริงว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
หรือเหตุผลที่หยิบยกขึ้นมาอาจเป็นเพียงอคติ เป็นความปรารถนาของบางคนหรือบางกลุ่มบุคคลเท่านั้น
เบิร์ก
ยังชี้ให้เห็นสภาวะการณ์ในอนาคตว่า
หากสถาบันเก่าแก่ถูกโค่นทำลายลงอย่างรวดเร็วภายใต้อุดมการณ์ใหม่ สังคมจะวุ่นวาย เพราะสถาบันทางการเมืองหรือสถาบันอันเป็นรากฐานของสังคมนั้นเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยเวลายาวนานในการสร้าง
สถาบันภายใต้อุดมการณ์ใหม่ไม่อาจสร้างขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว
จึงไม่อาจรองรับความวุ่นวายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ จะเกิดผลเสียอย่างรุนแรง หรือเกิดภาวะไร้ขื่อแป
คำถามเพื่อการอภิปราย
การยึดอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
|
2.
อนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ (Modern conservatism หรือ
right conservatism)
อนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ต่างจากอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมที่เป็นอุดมการณ์ใหม่อย่างหนึ่ง
ที่สามารถทำงานร่วมกับอุดมการณ์อื่นๆ (กรณีพูดถึงอุดมการณ์พรรคการเมือง) แนวทางสำคัญที่ยึดถือคือ ต่อต้านระบบราชการขนาดใหญ่ การแทรกแซงกิจการทางเศรษฐกิจโดยรัฐ
ต่อต้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ (ซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่อย่างรวดเร็ว
สนับสนุนค่านิยมจากศาสนายิว-คริสต์ ปฏิเสธการเก็บภาษีจำนวนมาก
ต่อต้านแนวทางรัฐสวัสดิการ ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายควบคุมเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด
สนับสนุนอำนาจทางทหารเพื่อปกป้องประเทศ
จะเห็นได้ว่าอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่จะมีส่วนใกล้เคียงกับเสรีนิยมดั้งเดิมในทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนการค้าเสรี
การแทรกแซงโดยรัฐให้น้อยที่สุด
แต่อนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ยังคงต่างจากเสรีนิยมในประเด็นทางสังคมที่ยังเน้นคงรักษาขนบธรรมเนียมการดำเนินชีวิตแบบเก่าไว้
3. อนุรักษ์นิยมใหม่ (Neoconservatism) เป็นคำที่เฉพาะในประเทศสหรัฐฯ
อนุรักษ์นิยมใหม่พัฒนาจากอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมที่ชอบแยกตัวโดดเดี่ยว (isolation) โดยอนุรักษ์นิยมใหม่สนับสนุนนโยบายการเข้าพัวพันกับโลก (engagement)
การมีส่วนร่วมกับประเทศต่างๆ
การร่วมจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศอย่าง NATO หรือ UN (โดยสรุปแล้วอนุรักษ์นิยมใหม่คือกลุ่มย่อยของอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม
เพียงแต่ปรับแต่งนโยบายต่างประเทศเท่านั้น)
อดีตประธานาธิบดี George W. Bush เป็นคนหนึ่งที่ยึดอุดมการณ์นี้ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เช่น การเป็นเจ้าผู้ครองโลก การทำสงครามกับอิรักในปี 2003
ปรับปรุงมีนาคม 2564
ชาญชัย คุ้มปัญญา
-------------------------