อำนาจอธิปไตย (sovereignty) หมายถึง อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ
“อำนาจอธิปไตย ความหมาย”
“แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย”
อำนาจอธิปไตยของไทยในปัจจุบัน
ข้อคิดที่ได้จากแนวคิดอำนาจอธิปไตย
“ลักษณะของอำนาจอธิปไตย”
“การสั่นคลอนอำนาจอธิปไตย”
“รัฐในอนาคต”
“บทบาทหน้าที่แห่งรัฐ”
“อำนาจอธิปไตย ความหมาย”
Stanford
Encyclopedia of Philosophy
ชี้ว่าความหมายของอำนาจอธิปไตยเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามยุคสมัย
แต่ทั้งหมดมีแก่นความหมายตรงกันว่า คือ สิทธิอำนาจสูงสุดในเขตแดน หรือ “supreme
authority within a territory”
New Columbia Encyclopedia ให้นิยามว่า “สิทธิอำนาจสูงสุดของชุมชนการเมือง หรือ
“the supreme authority in a political community”
โดยรวมแล้วสรุปได้ว่า
อำนาจอธิปไตย (sovereignty) หมายถึง
อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ
รัฐอธิปไตย
(sovereign state) บางทีเรียกว่า รัฐเอกราช (independent
state)
คือรัฐที่การตัดสินใจว่าจะกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดจากการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐหรือหน่วยการเมืองอื่น
เมื่อตกเป็นเมืองขึ้นก็คือสูญเสียเอกราช
สูญเสียอธิปไตย ไม่มีอิสระในการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
คำว่า รัฐเอกราช เน้นใช้ถึงการยอมรับจากรัฐอื่นๆ
คำถาม รัฐที่ปกครองโดยรัฐบาลหุ่น
หรือรัฐบาลหุ่นเชิดจากประเทศอื่น เช่นอาจเป็นเจ้าอาณานิคมเดิม
โดยที่รัฐบาลหุ่นซึ่งเป็นคนในชาตินั้นแต่บริหารประเทศด้วยการถูกบังคับควบคุมจากเจ้าอาณานิคม
ถือว่าประเทศรัฐบาลหุ่นเป็นประเทศที่มีอธิปไตยหรือไม่
·
ประวัติการก่อกำเนิด
แนวคิดอำนาจอธิปไตยก่อตัวในสมัยกลางของยุโรป
(Middle Ages) ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 500-1350
เมื่อผู้ปกครองยุโรปพยายามแยกตัวจากอำนาจของ Holy
Roman Empire และอำนาจของสันตะปาปา
อีกทั้งกษัตริย์สามารถรวบรวมอำนาจที่กระจายตัวอยู่กับผู้นำระดับท้องถิ่น
ทำให้กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของดินแดนที่ตนเองครอบครอง
·
เหตุแห่งการถกเถียง
อำนาจอธิปไตยจะกลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญเมื่อสังคมไม่ชัดว่าใครหรือสถาบันใดเป็นผู้มีสิทธิอำนาจอันชอบธรรมที่จะครอบครองอำนาจปกครองสูงสุด
กษัตริย์สยามในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีอำนาจอธิปไตย
พระดำรัสเป็นกฎหมาย มีอำนาจเหนือประชาชนทุกคนในแผ่นดิน
สามารถกระทำการใดๆต่อประชาชนแม้กระทั่งสั่งประหารชีวิตโดยไม่มีการไต่สวน
·
แนวคิดจากคัมภีร์ไบเบิ้ล
ด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าคือผู้มีอำนาจสูงสุด
เป็นเจ้าของทุกอำนาจในสวรรค์และโลก พระเจ้าคือผู้ปกครองเหนือบรรดาประชาชาติ หรือ The
Governor among the nations (Ps. 22:28 ) พระองค์เป็นผู้ตั้งอาณาจักรและล้มอาณาจักร
ดังนั้นอำนาจอธิปไตยจึงอยู่ที่พระเจ้าของศาสนาคริสต์
อำนาจอธิปไตยจากพระเจ้านี้เป็นอำนาจสูงสุด
ไม่มีอะไรต้านทานได้ และไม่จำกัด
อำนาจของทุกรัฐบาล
ทุกอาณาจักรในโลกได้มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
พระเจ้ามอบอำนาจให้แก่สถาบันหรืออาณาจักรเหล่านี้ และสามารถถอดถอนเมื่อใดก็ได้
แต่แนวคิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
ตัวอย่าง
การปกครองแบบรัฐศักดิดาของยุโรปสมัยกลางเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเรื่องอำนาจของพระเจ้าในศาสนาคริสต์
ในยุคนั้นนิกายคาธอลิคมีอำนาจในการปกครอง
สันตะปาปาได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่มีอำนาจทั้งด้านการปกครองโลกฝ่ายจิตวิญญาณ
(spiritual world) กับด้านโลกฝ่ายกายภาพ (secular
world) ซึ่งในยุคนั้นกษัตริย์บางองค์ยอมรับแต่บางองค์ไม่ยอมรับ
เกิดการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่างกัน
·
แนวคิดจากทฤษฎีเทวสิทธิ์ (divine
right) ของ ฌอง โบแดง
ฌอง โบแดง (Jean
Bodin) เป็นชาวฝรั่งเศส
ต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่กษัตริย์เพื่อลดอำนาจปกครองของพระสันตะปาปาแห่งศาสนจักร
จึงเสนอทฤษฎีว่าแท้จริงแล้วพระเจ้ามอบอำนาจการปกครองสูงสุดแก่กษัตริย์ไม่ใช่ศาสนจักร
อำนาจอธิปไตยอยู่ในตัวคนเดียวและอยู่เหนือกฎหมาย
·
แนวคิดจากทฤษฎีสัญญาประชาคม (popular
sovereign)
ทฤษฎีนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่ามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันทำสัญญาประชาคม
(social contact) เพื่อมอบอำนาจให้แก่ผู้ปกครองที่จะดูแลพวกเขาทั้งหมด
มนุษย์จึงเป็นผู้สร้างรัฐ
·
แนวคิด
รัฐสมัยใหม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของอีกรัฐหนึ่ง
การทำสนธิสัญญาสันติภาพที่เวสฟาเลีย (Peace of Westphalia )
เมื่อปี 1648
รัฐสมัยใหม่ที่เข้าร่วมสันธิสัญญายอมรับการดำรงอยู่รัฐสมัยใหม่อื่น และรัฐสมัยใหม่กลายเป็นเขตแดนของอำนาจอธิปไตย
การแทรกแซงจากรัฐอื่นเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อำนาจอธิปไตยของไทยในปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2540 ระบุไว้ในมาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2550 ระบุไว้ในมาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม”
1)
แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเท่าที่ศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะพูดถึงที่มาแห่งอำนาจและการใช้อำนาจดังกล่าว
ใครเป็นผู้ถืออำนาจ
2)
ยังไม่มีความชัดเจนถึงที่มาของอำนาจอธิปไตย
หรือยังถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร
3)
แต่เราไม่อาจปฏิเสธว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมีอยู่จริงในการเมืองการปกครองในปัจจุบัน
และประชาชนส่วนใหญ่เคยชินกับการอยู่ภายใต้อำนาจนี้
4)
ในระบอบอการเมืองการปกครอง
อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนโดยมอบให้รัฐไปใช้ รัฐกลายเป็นตัวแสดงหลักของเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เป็นตัวแทนของประชาชนแห่งรัฐนั้น
1.
เป็นอำนาจสูงสุด
ไม่มีอำนาจที่สูงกว่าอำนาจอธิปไตยอีกแล้ว
2.
ครอบคลุมไปทั่วอย่างบริบูรณ์
คือมีอำนาจตกทุกคน ทุกองค์กรในรัฐ
3.
มั่นคงถาวร ไม่สูญสลาย อำนาจอธิปไตยอยู่คู่กับความเป็นเอกราชของรัฐ
4.
แบ่งแยกไม่ได้
5.
แต่ละรัฐมีความเท่าเทียมกันในทางกฎหมาย
(legal equality among states)
มีในหลายรูปแบบ
รูปแบบ 1
การแทรกแซงกิจการของอีกประเทศหนึ่ง
·
ปัจจุบัน
มีแนวคิดบางอย่างที่ทำให้แทรกแซงกิจการภายในของอีกประเทศหนึ่ง
(เท่ากับว่ารุกล้ำอธิปไตย) เช่น หลักสิทธิมนุษยชนสากลหรือหลักยุติธรรมสากล (universal
humanitarian intervention or universal jurisdiction) ประเทศที่แทรกแซงมากคือสหรัฐฯ
นอกนั้นคือประเทศอื่นๆในยุโรปตะวันตก
o เฉพาะในทศวรรษ 1990 สหรัฐฯมีปฏิบัติการทางทหารด้วยเหตุมนุษยธรรม ถึง 4
ครั้ง คือ ในประเทศ โซมาเลีย ไฮติ บอสเนีย และโคโซโว
รูปแบบ 2 การรวมตัวเป็นสหภาพหรือองค์การที่ใหญ่กว่ารัฐของตัว
รูปแบบ 2 การรวมตัวเป็นสหภาพหรือองค์การที่ใหญ่กว่ารัฐของตัว
·
การรวมตัวของหลายประเทศในยุโรปตะวันตกกับตะวันออกเป็นสหภาพยุโรป
เป็นอีกลักษณะที่สำคัญของการสั่นคลอนอธิปไตยของรัฐชาติเก่าๆ
o รัฐชาติเดิมได้สละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้กับองค์การหรือสหภาพที่ใหญ่กว่ารัฐของตัว
o อย่างไรก็ตาม เป็นอธิปไตยแบบใหม่ในรูปสหภาพ
และอาจกลายเป็นรัฐหนึ่งเดียวในอนาคต
o การรวมกลุ่มในบ้างด้านก็เป็นการสั่นคลอนอธิปไตยในลักษณะเดียวกันนี้ คือ
การเกิดเขตการค้าเสรีต่างๆ อย่าง North American Free Trade Agreement
(NAFTA), Mercosur in South America , the
Association of Southeast Asian Nations (ASEAN)
o ยกตัวอย่าง สหภาพยุโรป (European Union)
มีอำนาจปกครองเหนือรัฐสมาชิกในด้านเงินตรา
นโยบายการค้าและนโยบายสวัสดิการสังคมบางเรื่อง แต่รัฐสมาชิกยังมีอำนาจอธิปไตยในด้านการป้องกันตัวเอง
ดังนั้นรัฐอธิปไตยที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปจึงไม่มีอำนาจอธิปไตยทุกด้าน
หรือในทางกลับกัน อำนาจอธิปไตยของสหภาพยุโรปไม่ครอบคลุมทุกด้าน
·
การสั่นคลอนอำนาจอธิปไตยที่เป็นประโยชน์ด้วยใจสมัคร
เมื่อเราพูดถึงอำนาจอธิปไตยที่ถูกลดทอนหรือสั่นคลอน เราต้องเข้าใจด้วยว่าบางครั้งเกิดขึ้นเพราะรัฐเจ้าของอำนาจนี้สมัครใจและเกิดประโยชน์ต่อรัฐ
เมื่อเราพูดถึงอำนาจอธิปไตยที่ถูกลดทอนหรือสั่นคลอน เราต้องเข้าใจด้วยว่าบางครั้งเกิดขึ้นเพราะรัฐเจ้าของอำนาจนี้สมัครใจและเกิดประโยชน์ต่อรัฐ
Haass ยกตัวอย่างว่า “การค้าขาย (trade) คือตัวอย่างที่สมบูรณ์ บรรดารัฐบาลย้ายสิทธิอำนาจ (บางส่วนของตน)
ให้แก่องค์กรการค้าเช่นองค์การค้าโลก สาเหตุที่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ
เห็นว่าการสร้างเป็นระบบการค้าโลกจำเป็นต้องมีองค์กรรองรับเพื่อเป็นกลไกแก้ไขความขัดแย้ง”
ตัวอย่างการยอมสิทธิทางการค้า
เช่น การลดกำแพงภาษีตามกรอบขององค์การค้าโลก
รูปแบบ 3
โลกาภิวัตน์
·
นิยาม โลกาภิวัตน์ (globalization) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง
"การแพร่กระจายไปทั่วโลก; การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่
ณ จุดใด สามารถรับรู้ สัมพันธ์
หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง
ซึ่งเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นต้น"
·
โลกาภิวัตน์ (globalization) หมายถึง สภาพที่ส่วนต่างๆ (ไม่ได้หมายถึงทุกส่วน)
ของโลกติดต่อถึงกันได้โดยง่าย ทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง
ทำให้ได้รับผลกระทบต่อกันและกันทั้งทางบวกและทางลบ
ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางการติดต่อสื่อสาร
·
ตัวอย่างทาง สังคม วัฒนธรรม
o เด็กนักเรียนประเทศแอฟริกาผู้ยากไร้สามารถเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนยุโรป
ญี่ปุ่น
ผ่านทางอินเตอร์เน็ตของโรงเรียนที่ได้รับบริจาคจากองค์กรช่วยเหลือจากต่างประเทศ
เกิดการลอกเลี่ยนแบบวัฒนธรรม
การกล่อมเกลาทางสังคมโดยอีกสังคมหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
·
ตัวอย่างทาง เศรษฐกิจ
o คนอินเดียที่กำลังอาศัยอยู่ในอินเดียเป็นพนักงานบัญชีให้กับบริษัทอเมริกันที่ตั้งอยู่ในอเมริกา
บริษัทอเมริกันสามารถจ้างแรงงานต่างชาติได้แม้แรงงานนั้นอยู่นอกเขตแดนอเมริกา
o หุ้นไทยสามารถถูกซื้อโดยโบรกเกอร์หรือนักลงทุนต่างชาติในรูปแบบต่างๆ เงินบาทไทยถูกซื้อขายแบบเก็งกำไรจากนักเก็งกำไรทั่วโลก
o วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจากสหรัฐฯ ในปี 2008
กระทบไปหลายประเทศทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
·
ตัวอย่างทาง การเมือง
o ภาพความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองภายในของประเทศหนึ่งที่แพร่ภาพผ่านเวบไซด์อินเตอร์เน็ตโดยที่เจ้าของประเทศไม่สามารถปิดหรือห้ามได้ทั้งหมด
·
ผลจากโลภาภิวัตน์จึงกระทบต่ออธิปไตยของชาติ
เพราะรัฐไม่อาจควบคุมวิถีดำเนินชีวิตของคนไทยประเทศตามต้องการ
แต่ถูกสั่นคลอนด้วยวัฒนธรรมต่างชาติ
ในทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของประเทศที่รัฐหรือทุกรัฐบาลต้องมุ่งรักษาไว้อยู่ภายใต้การคุกคามจากใครก็ได้ที่อยู่ต่างแดน
ความเป็นไปทางเศรษฐกิจไม่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของตนเองเท่านั้นอีกต่อไป
และในทางการเมืองรัฐยากที่จะปกปิดพฤติกรรมของตนเองและเกิดมาตรฐานใหม่ในการทำงานการเมืองว่าสื่อหรือคนต่างชาติจะคิดเห็นอย่างไร
ยอมรับได้มากน้อยเพียงใด
·
รูปแบบรัฐในอนาคตย่อมจะแตกต่างจากปัจจุบัน
ดังเช่น สหภาพยุโรปได้รวมเอาหลายประเทศในยุโรปมารวมเข้าด้วยกัน
ใช้สกุลเงินเดียวกัน ฯลฯ
·
แนวคิด universal state ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ.476 อำนาจการเมืองที่ครอบคลุมดินแดนยุโรปมี
2 แบบ คืออำนาจปกครองโดยผู้ปกครอง กับอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิก
อำนาจหลังนี้มีสันตะปาปา (Pope) เป็นผู้นำสูงสุด
และเป็นเหตุให้ภาษาลาตินเป็นภาษากลางหรืออย่างน้อยในหมู่ปัญญาชน
หลักศาสนาคริสต์เป็นองค์ประกอบของแนวคิดการปกครองในสมัยนั้น และพัฒนาไปเรื่อยๆ
จนในปี ค.ศ. 936 กษัตริย์ Otto I ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
(Holy Roman Empire )
ดังกล่าวแล้วว่าทุกวันนี้มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนอยู่ภายในรัฐใดรัฐหนึ่ง
ไม่มีใครสามารถอยู่แยกโดดเดี่ยวได้
แต่รัฐจะมีบทบาทหน้าที่ใดขึ้นอยู่กับรูปแบบรัฐ
รูปแบบการปกครอง เพราะสิ่งเหล่านี้จะกำหนดบทบาทหน้าที่แห่งรัฐ
ซึ่งอาจจะตราเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ เช่น อาจเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ
อุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่างรัฐมีเพื่อประชาชน
บางอุดมการณ์นั้นรัฐสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล
คำถามเพื่อการอภิปราย ประชาชนควรอยู่เพื่อรัฐ
หรือรัฐควรมีเพื่อประชาชน เพราะเหตุใด จงอธิบาย
คำถามเพื่อการอภิปราย
ประชาชนชาวไทยอยู่เพื่อรัฐไทย กับ ประชาชนชาวไทยอยู่เพื่อรัฐบาลไทย
แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย
เอกสารประกอบคำบรรยาย รหัสวิชา2551120
ชาญชัย คุ้มปัญญา
--------------------------