“พัฒนาการ และรูปแบบรัฐ”
คำว่า
“รัฐ” ในที่นี้ไม่ได้มีนิยามตามนิยามคำว่ารัฐดังที่ได้กล่าวข้างต้น
แต่เป็นคำศัพท์เพื่ออ้างถึงหน่วยปกครองที่ต้องการพูดถึงเท่านั้น
ซึ่งอาจเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ หรือหมายถึงอาณาจักรจีนโบราณที่กว้างใหญ่ไพศาล
ในตำรารัฐศาสตร์มีวิธีการแบ่งออกแตกต่างกันหลายวิธี และมีหลากหลายรูปแบบ ในที่นี้จะกล่าวรัฐบางรูปแบบโดยเรียงลำดับพัฒนาการตามเวลาที่เราได้ศึกษาจากประวัติศาสตร์
ซึ่งบางรูปแบบอาจจะยังคงอยู่หรือไม่มีแล้วในปัจจุบัน
·
รัฐชนเผ่าหรือรัฐเผ่าชน (Tribal State )
นักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า
รัฐชนเผ่าน่าจะเป็นรัฐในรูปแบบยุคต้น เกิดจากการรวมตัวของครอบครัวหลายครอบครัว
จึงมักมีความผูกพันใกล้ชิดทางสายโลหิต เรียกได้ว่าเป็นตระกูลด้วยกัน
และบางเผ่าอาจเป็นการรวมตัวของหลายตระกูลที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกัน
หรือมารวมตัวกันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จนพัฒนาการปกครองเป็นเผ่าเดียวกันในที่สุด
เกิดหัวหน้าเผ่า มีภาษา หรือขนมธรรมเนียม วิถีการดำเนินชีวิตของตนเอง
·
รัฐอาณาจักรโบราณ และ
จักรรวรรดิโรมัน (Roman Empire )
ประเทศที่เคยเป็นลักษณะนี้
เช่น อียิปต์โบราณ อาณาจักรโรมัน อัสซีเรีย จีน อินเดีย รวมทั้งสยามโดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาณาจักรเหล่านี้มักมีพื้นที่กว้างใหญ่
ประกอบด้วยหลายหัวเมืองที่มีเมืองเล็กๆ เป็นเมืองบริวาร
มีประชากรมากประกอบด้วยชนเผ่าย่อยๆหลายชนเผ่า
อาจมีหลายภาษาภายใต้อาณาจักรเดียวกันนี้
การปกครองมักขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว อาจเรียกว่ากษัตริย์
หรือราชา การบริหารประเทศมักต้องอาศัยกำลังทหารควบคู่ด้วยเสมอ
มักมีประวัติศาสตร์ที่สามารถศึกษาได้อย่างละเอียด
แต่ละอาณาจักรครอบคลุมประวัติศาสตร์นับร้อยๆปี
ยกตัวอย่าง เช่น
จักรวรรดิโรมัน
ได้ขยายอำนาจรวบรวมดินแดนที่ปัจจุบันเป็นยุโรปในปัจจุบันไว้เกือบทั้งหมด
และบริหารปกครองด้วยใช้กฎหมายฉบับเดียวกันที่ตราขึ้นโดยโรมัน
ในระบบเศรษฐกิจใช้เงินตราสกุลเดียวกันทั่วทั้งจักรวรรดิ
การบริหารราชการใช้ภาษาเดียวกันคือภาษาลาติน
ทั้งยังส่งเสริมให้นับถือศาสนาเดียวกันด้วยคือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก
อย่างไรก็ตามจักรวรรดิโรมันยังยินยอมให้รัฐที่พ่ายแพ้แก่โรมันสามารถปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมของตน
·
รัฐนครรัฐกรีก (Greek-city State )
นครรัฐกรีกประกอบด้วยหลายร้อยนครรัฐ
(polis) เข้ารวมด้วยกัน
ลักษณะเด่นคือ
แต่ละรัฐมีขนาดไม่ใหญ่ ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครองอย่างชัดเจน
ในกรณีของรัฐอื่นๆที่อยู่นอกยุโรปอาจไม่จำต้องหมายถึงการที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองอย่างนครรัฐกรีก
แต่หมายถึง ประชาชนกับผู้ปกครองอยู่อย่างใกล้ชิดกัน เช่น
สมัยกรุงสุโขทัยที่มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก
ประชาชนสามารถมาร้องทุกข์กับพ่อเมืองได้โดยตรง
·
รัฐเจ้าขุนมูลนายหรือรัฐศักดิดาหรือรัฐฟิวดัล (Feudal State)
รัฐเจ้าขุนมูลนายที่กำลังพูดถึงมุ่งกล่าวถึงแบบรัฐที่เกิดกับยุโรปในยุคกลาง
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-15
ซึ่งเป็นการกล่าวถึงรัฐในแถบยุโรปหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในราว ค.ศ. 500
ก่อนที่จะเกิดรัฐยุคสมัยใหม่ บางคนเรียกรัฐยุคนี้ว่ารัฐยุคกลาง
รัฐเจ้าขุนมูลนายนี้เป็นผลจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน
เมื่อขาดศูนย์อำนาจกลางที่สามารถปกครองอาณาจักรทั้งหมดที่กว้างใหญ่ไพศาล
ทำให้บรรดาขุนศึกและขุนนางต่างๆ บริหารหรือปกครองพื้นที่ภายใต้อิทธิพลของตนเอง
ในยุคนี้พื้นที่เพาะปลูกกับความปลอดภัยจากการรุกรานของผู้มีอำนาจมีความสำคัญมาก
ดังนั้น
บรรดาขุนศึกขุนนางจึงพยายามรวบรวมกำลังทหารของตนเองเพื่อปกครองและให้ความคุ้มครองแก่ไพร่ของตน
แลกกับการที่ไพร่ต้องทำงานเพาะปลูกในพื้นที่ของขุนศึกขุนนางและการที่ไพร่ต้องยอมอยู่ภายใต้การปกครอง
เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการรวมตัวกันหรือเกิดการรวบอำนาจระหว่างขุนศึกขุนนางเหล่านี้
เกิดเป็นกลุ่มๆ เป็นแว่นแค้นขนาดใหญ่ขึ้นมา บรรดาขุนศึกขุนนางมีลำดับชั้น
ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นชนชั้นปกครองตามลำดับขั้น
มีการให้สิ่งตอบแทนเป็นทรัพย์สินรูปแบบต่างๆ เพื่อแลกกับการได้รับการดูแลและอยู่ในชนชั้นปกครองตามแว่นแค้นของตน
และที่สุดพัฒนาจนมีกษัตริย์
(King) เป็นผู้ปกครองสูงสุดของระบบรัฐเจ้าขุนมูลนาย
มีศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างมาก
เพราะฝ่ายศาสนาก็มีผู้นำศาสนจักรคือ สันตะปาปาที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ
ดังนั้น ในทางปฏิบัติกษัตริย์ในรัฐแบบนี้มักไม่ค่อยมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
มีความตึงเครียดและการช่วงชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นปกครองระดับสูงอยู่เสมอ
รวมทั้งฝ่ายศาสนจักรก็มีส่วนอย่างมากด้วยเช่นกัน
เพราะประชาชนที่เคร่งในศาสนาเหมือนคนที่อยู่ในสองอาณาจักร คือ อาณาจักรฝ่ายโลก กับอาณาจักรฝ่ายสวรรค์
กษัตริย์มีอำนาจในฝ่ายโลกเท่านั้นและต้องดำเนินชีวิตภายใต้กรอบศีลธรรมอันดีงามที่ศาสนจักรดูแลอยู่
·
รัฐสมัยใหม่ (Modern State )
รัฐสมัยใหม่คือรัฐที่เราพูดถึงทุกวันนี้
เป็นรัฐที่พัฒนาจาก Feudal System ในยุโรปตะวันตก
การก่อกำเนิดเริ่มจากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Peace of Westphalia) ในปี 1648 ภายหลังสงครามสามสิบปี
สนธิสัญญาสงบศึกเวสต์ฟาเลียฉบับนี้
“นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าใหม่ของยุโรป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเมืองการปกครอง
1.
ทำให้ความสำคัญของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หมดลงไปเพราะได้ถูกลดฐานะลงให้เท่าๆ
กับดินแดนที่มีกษัตริย์ปกครอง
ตัวสันตะปาปาเองซึ่งมีอำนาจมากมายในสมัยรัฐฟิวดัลเพราะเป็นศูนย์รวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มีฐานะเป็นเพียงเจ้าผู้ครองรัฐๆหนึ่งเท่านั้น
2.
เป็นการชี้ให้เห็นว่าสัมพันธภาพระหว่างประเทศในอนาคตจะต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของแต่ละชาติมากกว่ายึดความสัมพันธ์ทางศาสนา
3.
ก่อให้เกิดกลุ่มสังคมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ
(Nation State) การประกาศเขตแดนที่มีอธิปไตยของตัวเองกลายเป็นรัฐอธิปไตย
รัฐสมัยใหม่เหล่านี้ไม่ยอมรับอำนาจทางการเมืองของสันตะปาปาและศาสนจักรโรมันคาทอลิกดังเดิมอีกต่อไป
ผู้นำรัฐเหล่านี้ซึ่งอาจเป็นกษัตริย์หรือจักรพรรดิเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
เช่น Louis XIV แห่งฝรั่งเศส (1643-1715) Frederick
II แห่งปรัสเซีย (1740-1786) Peter the Great
แห่งรัสเซีย (1682-1725)
แต่แนวคิดรัฐสมัยใหม่ยุคนี้กษัตริย์หรือจักรพรรดิเป็นเจ้าของทุกอย่างของรัฐ ดังที่
Louis XVI แห่งฝรั่งเศส ประกาศในปี 1793 ว่า “I am
the state.”
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ของไทย เมื่อกล่าวถึงคำว่า รัฐ หรือ รัฐชาติ
มีความหมายในลักษณะที่ว่า พระองค์เป็นเจ้าของรัฐ
“องค์ประกอบของรัฐสมัยใหม่”
คำถามเพื่อการอภิปราย
“รัฐ (สมัยใหม่) ต้องมีอะไรเป็นองค์ประกอบ
หรืออย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นรัฐ”
องค์ประกอบของรัฐสมัยใหม่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีการถกเถียงกันมากในแวดวงวิชาการ
มีการอธิบายที่แตกต่างกันออกไป
แต่โดยทั่วไป
องค์ประกอบของรัฐประกอบด้วย
1.
ดินแดนหรืออาณาเขต (Territory)
1.
ดินแดนดังกล่าวรัฐจะต้องมีอธิปไตยเหนือดินแดนและต่างชาติรับรองด้วย
ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน ที่อยู่ใต้แผ่นดิน พท.เหนือน่านฟ้า
รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นพื้นน้ำ
2.
การมีดินแดนเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการเป็นรัฐ
เพราะยังไม่มีรัฐบาลใดที่เป็นรัฐบาลเสมือนจริงที่ได้รับการรับรองจากประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศใดๆ
o ชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มในประเทศพม่าไม่อาจประกาศตัวเป็นรัฐได้
เพราะนานาชาติให้การยอมรับดินแดนพม่าในปัจจุบันมานานแล้ว
o ชาวเคิร์ดซึ่งกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะอิรัก อิหร่าน ตุรกี
แม้ในประวัติศาสตร์ ในทางมานุษยวิทยา
ให้การยอมรับว่ามีชนชาวเคิร์ดที่เคยเป็นอาณาจักรในสมัยโบราณ แต่ปัจจุบัน
พท.ที่คนเหล่านี้อาศัยอยู่ได้แยกออกเป็นหลายประเทศ
ทำให้ชาวเคิร์ดกลายเป็นพลเมืองของประเทศเหล่านี้แทนที่จะเป็นรัฐของตนเอง
หรือชาวมอญตามแนวชายแดนไทยพม่า
3.
ในกรณีนี้ ไม่รวมถึงรัฐบาลพลัดถิ่น
(Government in Exile) ซึ่งมักเป็นสภาพชั่วคราวไม่ถาวร โดยการจัดตั้งรัฐบาลหรือย้ายที่ทำการรัฐบาลไปตั้งอยู่ในดินแดนรัฐอื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง
เนื่องจากสูญเสียอำนาจควบคุมดินแดนให้กับกลุ่มก่อการที่ได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา
4.
แม้ว่าตัวรัฐอาจรับรองดินแดนที่ตัวเองยึดถือว่าเป็นของตนนั่นเป็นแง่มุมหนึ่ง
แต่หากต่างชาติไม่รับรอง ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง
ยกตัวอย่าง
เช่น เมื่ออิรักภายใต้การนำของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน สามารถบุกยึดประเทศคูเวต
ได้ประกาศว่าคูเวตเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน แต่สหประชาชาติไม่ให้การรับรอง
ยกตัวอย่าง
เกาะไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาลไต้หวันปกครองอยู่
ในขณะที่รัฐบาลจีนถือว่าเกาะไต้หวันเป็นจังหวัดหนึ่งของตน
เป็นดินแดนของตนที่กลุ่มก่อการ (รัฐบาลไต้หวัน) เข้าถือครองโดยมิชอบ
และสหประชาชาติให้การยอมรับว่าจีนมีหนึ่งเดียว ทำให้ในเวทีระหว่างประเทศรัฐบาลไต้หวันไม่ค่อยได้รับการยอมรับว่าเป็น
“รัฐ”
การดำเนินติดต่อทางการทูตของรัฐบาลไต้หวันกับต่างประเทศจึงยากลำบาก ปัจจุบัน
มีประเทศเล็๋กๆ
ไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลไต้หวันอย่างเป็นทางการ
5.
ความสำคัญของดินแดนนอกจากอยู่ที่เรื่องอธิปไตยแล้ว
ยังมีความสำคัญในเชิงทรัพยากรที่ได้จากดินแดนเหล่านั้นด้วย
ประเทศย่อมหวังมีดินแดนอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การอยู่อาศัย
เหมาะแก่การเพาะปลูกมีอาหารพอแก่การเลี้ยงดูประชากร มีทรัพยกรต่างๆ
ที่จำเป็นแก่การพัฒนาประเทศ อีกทั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศได้ เช่น
ทรัพยกรใต้มหาสมุทร
2.
มีประชากรอาศัยอยู่ (Po pulation)
o ประชากร (population) หมายถึงคนทั้งหมด
ซึ่งยังแบ่งออกเป็นประเภทอีก เช่น พลเมือง (citizen)
คนต่างด้าว (alien)
o ไม่มีการระบุชัดว่าจำนวนเกี่ยวข้องกับการสถาปนารัฐสมัยใหม่
o รัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดคือ Vatican
มี 860 คน ส่วนจีนมีถึง 1.3 พันล้านคน
o มีลักษณะพิเศษในบางรัฐ เช่น พลเมืองของรัฐหนึ่งในสหภาพยุโรปมีสิทธิมีเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นของอีกรัฐหนึ่งที่ตนเองกำลังอาศัยอยู่
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ นับแต่ปี 1996 ชาวเม็กซิโกที่ย้ายถิ่นฐานถาวร (emigrate) ไปอยู่ในสหรัฐฯยังสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีเม็กซิโก
3.
มีองค์กรภายในรัฐ (Internal
organization) หรือมีรัฐบาล (government) บริหารประเทศ
o ความเป็นรัฐอยู่คู่กับการมีระบบบริหาร
มีอำนาจและโครงสร้างการบริหารภายในรัฐ
คำถาม
หากรัฐบาลของรัฐหนึ่งๆ มีอำนาจในการบริหารจัดการภายในประเทศ
(อย่างน้อยในระดับหนึ่ง) แต่ไม่ได้รับการรับรองจากต่างชาติ
ยังถือว่ารัฐดังกล่าวมีองค์ประกอบแห่งรัฐครบหรือไม่
คำถามเพื่อการวิพากษ์
ในกรณีรัฐบาลพลัดถิ่นถือว่าเป็นรัฐที่ครบองค์ประกอบหรือไม่
4.
มีอธิปไตย (sovereignty) ไม่มีประเทศใดที่มีอำนาจเหนืออาณาเขตของประเทศนั้น
o รัฐ San
Marino
ตั้งอยู่ล้อมรอบด้วยดินแดนของประเทศอิตาลี ดินแดน 24 ตร.ไมล์ ประชากรราว 2.5
หมื่นคน เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ (UN)
มีสิทธิออกเสียงในสมัชชาสหประชาชาติเท่ากับชาติอื่นๆ
5.
ต่างชาติรับรู้ในความเป็นรัฐ (diplomatic
recognition)
หากย้อนดูประวัติศาสตร์จะพบว่า
รัฐหรืออาณาจักรในสมัยโบราณ
การที่ต่างชาติจะรับรู้ความเป็นรัฐหรือไม่นั้นไม่ช่วยหรือไม่ทำให้ความเป็นรัฐหรืออาณาจักรของตนดำรงอยู่หรือไม่
เพราะแต่ละรัฐหรืออาณาจักรก็สร้างและดำรงอยู่ด้วยตัวของตัวเอง แต่ในความเป็นรัฐสมัยใหม่
มีคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต่างชาติต้องรับรู้ในความเป็นรัฐของตน
ยกตัวอย่าง
เมื่ออิสราเอลประกาศความเป็นรัฐในปี 1948 สหรัฐฯกับสหภาพโซเวียตยอมรับทันที
แต่ชาติอาหรับใกล้เคียงเห็นว่ารัฐอิสราเอลที่ประกาศนั้นเป็นดินแดนที่ชาวยิวรุกราน
จึงถือสิทธิความชอบธรรมที่จะส่งทหารเพื่อบุกยึดอิสราเอล
ปัจจุบัน รัฐต่างๆ
ส่วนใหญ่รวมทั้งสหประชาชาติ ไม่ยอมรับไต้หวันว่าเป็นรัฐ
ด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ
แต่หลายรัฐติดต่อกับไต้หวันโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ มีเพียงราว 20
รัฐเท่านั้นที่ยอมรับไต้หวันในฐานะรัฐอธิปไตย แม้ว่าไต้หวันจะประกาศว่าตัวเองเป็นประเทศอธิปไตยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม
ประเด็นนี้เป็นประเด็นถกเถียง มีนักวิชาการบางท่านแย้งงว่า
แม้ว่าต่างชาติไม่ให้การยอมรับ แต่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มี 4 ข้อแรกนั้น สามารถทำให้รัฐนั้นมีความเป็นรัฐในตัวมันเอง
แม้ทุกประเทศทั่วโลกไม่ติดต่อไม่คบค้าด้วย รัฐนั้นก็สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง
(แม้อาจไม่ดีเท่าการที่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับนอกประเทศ)
ส่วนที่รัฐหรือประเทศอื่นจะรุกรานนั้นถือว่าเป็นการทำสงครามแย่งชิงดินแดนทั่วไป
และการไม่ยอมรับจากต่างชาติหรือองค์การระหว่างประเทศถือว่าเป็นกลไกการเมืองระหว่างประเทศ
เช่น ในสมัยสงครามเย็น
ฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันตกตั้งองค์การนาโต้
ส่วนกลุ่มประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอร์
ต่างฝ่ายต่างจับกลุ่มของตนและทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
6.
พลเมืองในชาติยอมรับ (domestic
support)
คือการที่พลเมืองในชาติยอมรับผู้ปกครอง
ระบอบการปกครอง เพราะที่สุดแล้วรัฐนั้นอาจไม่ดำรงอยู่ต่อไป เช่น อดีตสหภาพโซเวียต
อดีตยูโกสลาเวีย
เมื่ออดีตสหภาพโซเวียตยกเลิกระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
ทำให้หลายรัฐขอแยกตัวออก เหตุผลหนึ่งคือเนื่องจากพลเมืองเหล่านี้ไม่ยอมรับอีกต่อไปว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย
ประเด็นนี้น่าสนใจว่า
ความเป็นรัฐสามารถสูญสิ้นหรือถูกคุกคามด้วยปัจจัยภายในรัฐ
โดยเฉพาะจากประชาชนของตนเอง
ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยการใช้ความรุนแรง
ทำการปฏิวัติรัฐประหาร แต่หมายถึงการแยกประเทศออกจากประเทศแม่
เอกสารประกอบคำบรรยาย รหัสวิชา2551120
ชาญชัย คุ้มปัญญา
--------------------------