“นิยามคำว่ารัฐ”
ชีวิตของเราผูกพันกับรัฐอย่างมากตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
เมื่อเกิดมาก็ต้องแจ้งเกิด และมีผลผูกพันกับรัฐในอีกหลายทาง
จนสุดท้ายเมื่อเสียชีวิตก็ต้องให้ญาติพี่น้องแจ้งตายกับสำนักงานเขตหรืออำเภอด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงคำว่า
“รัฐ”
นักวิชาการในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปเป็นนิยามที่เห็นร่วมกันได้
แม้รัฐนั้นมีอยู่จริงและทุกคนเข้าใจได้เมื่อพูดถึงคำว่ารัฐ
ดังนั้น
เพื่อให้ง่ายที่จะทำความเข้าใจ
จึงเริ่มด้วยการให้นิยามรัฐที่เข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อน
มีคำสามคำที่มักจะพูดในความหมายเดียวกัน
คือ คำว่า รัฐ (state) ชาติ (nation)
ประเทศ (country) ทั้งสามคำมักใช้แทนกันได้
แต่แท้จริงมีความหมายต่างกัน
รัฐ (state) หมายถึง เขตหรืออาณาบริเวณที่มีการปกครองด้วยตัวเอง มีอธิปไตย
รัฐที่กำลังพูดถึงอยู่นี้เป็นรัฐสมัยใหม่
ที่เริ่มเกิดขึ้นจากทวีปยุโรป
ส่วนรัฐ (State-สังเกตุว่าเป็น ‘S’ ไม่ใช่ ‘s’) หมายถึงรัฐย่อยในรัฐใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ
ประกอบด้วยหลายรัฐ (State)
ประเทศ
(country) เน้นในความหมาย อาณาบริเวณที่คนอาศัยอยู่ร่วมกัน
แต่ละประเทศมีที่ตั้ง ลักษณะภูมิศาสตร์เฉพาะ
เช่นประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชาติ
(nation) เน้นในความหมาย
มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เชื้อสาย มีภาษา มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วม ทั้งหมดก่อให้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
มักจะแสดงออกให้เป็นชัดผ่านเอกลักษณ์ต่างทั้งรูปร่างหน้าตา ภาษา พฤติกรรม
นิยามคำว่า “ชาติ” จะเกี่ยวข้องกับ อุดมการณ์ชาตินิยม (Nationalism)
เป็นอุดมการณ์ที่ให้ความสำคัญกับชาติหรือความเป็นชาติอย่างมาก
ผลประโยชน์ของชาติมีความสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ของส่วนบุคคล
เรียกร้องให้ประชาชนเสียสละผลประโยชน์ตนเองเพื่อชาติ
ทั้งสามคำ จำง่ายๆว่า รัฐ เน้นมีอำนาจอธิปไตย ประเทศเน้นอาณาบริเวณ
ส่วนชาติเน้นมีวัฒนธรรมร่วม ความรู้สึกถึงผลประโยชน์ร่วมกัน
ยกตัวอย่าง
ในอดีตมีคนจีน (ชาติจีน) เดินทางมาอาศัยประเทศไทย
และต่อมาแต่งงานมีลูกหลานเกิดในไทย ลูกหลานเหล่านี้เป็นคนชาติไทยโดยที่ยังมีความเป็นชาติจีน (เชื้อสายจีน) ผสมอยู่ อาศัยอยู่ในประเทศไทย ภายใต้การปกครองของรัฐไทย
คนชาติไทยมีสัญชาติ
(Nationality) ไทย
ส่วนคำว่า รัฐชาติ (Nation-state) หมายถึง
หมายถึง
รัฐอธิปไตยที่พลเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวภายใต้ความเป็นชาติ
มีความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมบางอย่างร่วม เช่น
ภาษาหรือความการสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์
หมายถึง
คนของชาติที่ก่อตั้งเป็นรัฐหรือประเทศ
ตัวอย่างที่เด่นชัด
เช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน
ซึ่งประกอบด้วยคนเผ่าพันธุ์ญี่ปุ่นหรือเยอรมันที่ก่อตั้งเป็นประเทศ
แต่รัฐชาติส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักประกอบด้วยคนหลายเชื้อสาย
(หลายชาติมารวมกัน) เช่น ประเทศไทยก็ประกอบด้วยคนหลายเชื้อสาย
คนบางชาติไม่มีรัฐ
เช่น พวกเคิร์ด ที่กระจายอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะตุรกี อิรัก อิหร่าน หรือพวกมอญ
ที่กระจายอาศัยอยู่ในพม่ากับไทย
“แนวคิด ทฤษฎีกำเนิดแห่งรัฐ” (Origin of State)
·
เกริ่น
รัฐในที่นี้หมายถึงรัฐในความหมายทั่วไป
อาจเป็นประเทศ อาณาจักรโบราณก็ได้
·
การหาคำตองเรื่องกำเนิดแห่งรัฐมีทั้งที่เป็นแนวคิดกับทฤษฎี
มีแนวคิด ตัวอย่างทฤษฎีกับแนวคิดที่สำคัญ เช่น ...
·
ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (divine right theory)
หลักสำคัญของทฤษฎีนี้คือรัฐมีกำเนิดจากพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเทพ
ทฤษฎีนี้ยังแบ่งออกไปอีกหลากหลายตามความเชื่อของแต่ละพื้นที่แต่ละศาสนา
โดยรวมแล้ว
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าพระเจ้าส่งผู้ปกครองหรือแต่งตั้งผู้ปกครองมาปกครองประชาชน ดังนั้น
ประชาชนต้องยอมรับอำนาจการปกครองจากคนเหล่านี้ เช่น
ฮ่องเต้ของอาณาจักรจีนโบราณเป็นโอรสแห่งสวรรค์ที่ถูกส่งลงมาปกครองโลกมนุษย์
ได้รับอำนาจอันชอบธรรมจากสวรรค์
เซนต์
ออกัสติน มีความเห็นว่า “รัฐหรือสถาบันการปกครองเกิดขึ้นเพราะผลของบาปที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นไว้
สถาบันการปกครองทั้หลายนั้นเกิดขึ้นตามความประสงค์ของพระเจ้า
บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นตามความประสงค์ของพระเจ้า
บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับอำนาจหน้าที่มาจากพระเจ้าทั้งสิ้นเพื่อที่จะสร้างสรรค์สันติภาพและความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์”
ความเชื่อแบบคริสต์ถือว่าพระเจ้าแต่งตั้งหรือให้อำนาจแก่บางคนเพื่อเป็นผู้ปกครอง
และชาวยุโรปโบราณถือความเชื่อนี้ที่แม้ในยุคกลาง (Middle Age)
ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ต้องได้รับการประกอบพิธีกรรมรับมอบอำนาจจากประมุขศาสนาเสียก่อน
ทฤษฎีเทวสิทธิ์นี้แม้จะต่างกันว่าพระเจ้าใดเป็นผู้สร้างรัฐ
แต่ได้รับการยอมรับในแถบทุกศาสนา ทุกภูมิภาคทั่วโลก
และใช้อยู่นานนับพันปีจนเสื่อมความนิยมมาสมัยเมื่อมนุษย์มีความรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นและลดความเชื่อเรื่องศาสนา
ดังนั้น
คนที่เชื่อทฤษฎีเทวสิทธิ์นี้จึงเป็นผู้ที่ยึดหลักศาสนาหรือความเชื่อของตนเป็นสำคัญ
·
แนวคิด “การตอบสนองความต้องการของกันและกัน”
เพลโต้ (Plato)
ถือว่า “รัฐเกิดขึ้นในเบื้องแรกเพื่อสนองความต้องการอันจำเป็นซึ่งกันและกันของคนเรา
ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคนเรานั้นมีความจำเป็นมากมายหลายอย่างและเขาก็ไม่สามารถที่จะสนองความต้องการทุกอย่างของเขาด้วยตัวเขาเองได้
ในที่สุดคนเราก็จะเรียกร้องความช่วยเหลือจากคนอื่นๆเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของเขา
และเมื่อเราสามารถที่จะรวบรวมจำนวนคนที่จะช่วยเราในเรื่องความต้องการแต่ละอย่างเข้ามาอยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกัน
เราเรียกสถานที่นั้นว่ารัฐหรือ Polis”
“ตามทรรศนะของเพลโต้นี้การเกิดขึ้นของรัฐเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
รัฐเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะตอบสนองความต้องการทั้งหลายของคนเรา
ดังนั้นคนเราจะมีความสมบูรณ์พูนสุขได้ก็แต่โดยอาศัยอยู่ในรัฐเท่านั้น
ปราศจากรัฐเมื่อไรคนอาจจะพบกับความหายนะหรือความเสื่อมทรามของชีวิตในที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเชื่อว่าธรรมชาติของคนนั้นเป็นสัตว์สังคม
จึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม (การมือง) เท่านั้นจึงจะมีความเป็นคนที่สมบูรณ์นั่นเอง”
คำถามชวนคิด
การเมืองในปัจจุบันช่วยให้มีชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง
ควรที่จะแยกอยู่คนเดียวในโลกหรือไม่
ทรรศนะของอริสโตเติลสอดคล้องกับเพลโต
“เขาเห็นว่าคนนั้นมีสัญชาติญาณที่จะแสวงหาอำนาจและสิ่งที่จะสนองความต้องการของคน
ทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถที่จะหาได้จากที่อื่นนอกจากภายในรัฐเท่านั้น
ดังนั้นรัฐจึงเป็นประชาคมซึ่งทำให้ชีวิตของคนเราดีขึ้นและสมบูรณ์ขึ้นกว่าที่ไม่มีรัฐ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่มีชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงอยู่ภายนอกรัฐ”
คำถามอภิปราย
นักวิชาการบางท่านตั้งคำถามว่ารัฐไทยมีขนาดใหญ่ไปหรือไม่
จากการที่คนไทยปัจจุบันจำนวนมากขาดความรู้สึกความเป็นคนของรัฐ
มีเพียงความรู้สึกหลวมๆ อาจยึดโยงกับบางสถาบันโดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์
คนชนบทผูกพันกับสังคมเล็กๆ ของตัวเองเป็นหลัก
รัฐที่คนชนบทต้องการจึงเป็นรัฐเล็กๆไม่ใช่รัฐไทย
·
แนวคิด “ความจำเป็นเพื่อการรักษาความยุติธรรมในสังคม”
โธมัส มอร์ (Thomas
Moore) เห็นว่า “รัฐเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการที่จะประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
แม้ว่าพื้นฐานของสังคมนั้นจะประกอบด้วยครอบครัวต่างๆ อำนาจดำเนินการใดๆ
ทั้งหลายจะอยู่ที่หัวหน้าครอบครัว
การสร้างความยุติธรรมพื้นฐานทั่วๆไปนั้นสามารถพบได้ในครอบครัว
แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่โตโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาแล้วจำเป็นที่จะต้องเรียกหารัฐเป็นผู้ชี้ขาด
เพราะสิ่งนี้อยู่นอกเหนือความสามารถของแต่ละครอบครัวแล้ว
เพราะฉะนั้นการเกิดขึ้นของรัฐก็คือความจำเป็นในการรักษาความสงบเรียบร้อยและธำรงค์ไว้ซึ่งความยุติธรรมนั่นเอง”
·
ทฤษฎีสัญญาประชาคม (social
contact theory)
โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes, ค.ศ.1588-1679) พูดถึงทฤษฎีสัญญาประชาคม
ในทรรศนะของฮอบส์ “ความต้องการความั่นคงปลอดภัยในชีวิตของคนเราคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรัฐขึ้นมา
... และทำสัญญาต่อกัน
ยอมสละอำนาจส่วนตัวและสร้างอำนาจร่วมขึ้นมาเพื่อที่จะบังคับไม่ให้คนประพฤติตนไปในทางเป็นภัยอันตรายหรือละเมิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของผู้อื่น
ทุกคนรู้ดีว่าจำเป็นต้องอยู่ภายใต้อำนาจร่วมนี้เพื่อรักษาชีวิตของตนเองหลีกหนีความตาย
การเกิดขึ้นของอำนาจร่วมนี้เองก็คือการเกิดขึ้นของรัฐหรือสังคมการเมืองซึ่งฮอบส์เรียกว่าจักรภพ (Commonwealth) อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงร่วมของผู้ที่เข้ามาอยู่ร่วมกันในสังคมในลักษณะของสัญญาประชาคม
ซึ่งต้องอยู่บนรากฐานของศีลธรรมและสมมติฐานที่ว่าถ้าคนหนึ่งสัญญาว่าจะกระทำการหรืองดเว้นไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว
บุคคลอื่นที่ร่วมเป็นคู่สัญญาจะต้องถือปฏิบัติอย่างเดียวกันด้วย เมื่อมีการทำสัญญาจัดตั้งอำนาจร่วมขึ้นมาแล้ว
ซึ่งถือเป็นอำนาจสูงสุดในจักรภพนั้น
ย่อมต้องมีการจัดตั้งองค์กรที่ใช้อำนาจร่วมดังกล่าวด้วย
องค์กรที่ว่านี้ก็คือองค์อธิปัตย์ (Sovereign)
หรือผู้ปกครองนั่นเอง”
จอห์น ล็อค (John
Locke, ค.ศ.1632-1714) มองว่าธรรมชาติมนุษย์มีเหตุผลและศีลธรรม
สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้
แต่ด้วยการมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตย่อมทำให้เกิดเหตุการณ์การอ้างเสรีภาพของตนละเมิดเสรีภาพคนอื่น
เกิดความขัดแย้งกันในการใช้เสรีภาพ
เพื่อเป็นหลักประกันว่าเสรีภาพของทุกคนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
จึงเห็นว่าควรมีองค์กรที่ดูแลการใช้เสรีภาพของทุกคน
ล็อคเห็นว่าสัญญาประชาคม
“เกิดขึ้นจากความยินยอมของทุกคน
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพยสิน
ความมั่นคงในการดำรงชีพ ความสะดวก ตลอดจนสันติภาพระหว่างกัน
ทุกคนพร้อมที่จะสละสิทธิที่จะลงโทษการละเมิดกฎธรรมชาติด้วยตัวของเอง
และรับรู้อำนาจบังคับที่เป็นอิสระต่อพวกเขาและอยู่เหนือพวกเขา
ดังนั้นรัฐจึงเกิดจากการสละสิทธิดังกล่าวของมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นสังคมพื่อจัดตั้งองค์คณะการเมืองขึ้น
หลังจากนั้นเมื่อมนุษย์คนอื่นๆเข้ามาอยู่รวมเป็นสังคมการเมือง (รัฐ)
ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นแล้วเขาก็ต้องยอมรับกฎข้อบังคับต่างๆของสังคม”
ฌ็อง ฌาก รุสโซ (Jean
Jacques Rousseau) เป็นนักเขียนและนักปรัชญาฝรั่งเศส
มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1712-1778 งานสำคัญของท่านคือ หนังสือสัญญาประชาคม (Social
Contract) พิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 “หนังสือเล่มนี้เป็นการอธิบายถึงความสัมพันธ์กันของคนในสังคม
ต้องการสร้างเอกภาพขององค์คณะสังคม
และที่สำคัญก็คือต้องการให้ผลประโยชน์ส่วนตัวของคนเรานั้นอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ส่วนรวมหรือที่เรียกว่าเจตจำนงทั่วไป” “อย่างไรก็ตามเมื่อคนเราจะต้องถูกปกครองแล้ว
การจะลดความทุกข์อันเกิดจากกรณีดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเข้ามามีส่วนร่วมในการออกระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทุกคนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในอำนาจอธิปไตยนั่นเอง
ความชอบธรรมทั้งหลายจึงจะเกิดขึ้น
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นแนวคิดเสรีนิยมของรุสโซซึ่งเป็นเจ้าของความคิดที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”
ชุมชนทางการเมืองหรือรัฐตามแนวคิดของรุสโซจึงมีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่ยึดหลักเจตจำนงทั่วไป
(General Will) อันเป็นเจตจำนงที่มีเหตุผลเป็นพื้นฐาน
ทำให้รัฐต้องปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวงตามเจตจำนงของประชาชนและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงเป็นเพียงองค์กรที่มีหน้าที่ดำเนินนโยบายให้เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่และให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนส่วนรวม
·
แนวคิด “แสวงหาผู้ปกป้อง”
นิโคโล มาเคียเวลลี่ (Niccolo
Machiavelli, 1469-1527) มองธรรมชาติของคนในแง่ลบ
“เห็นแก่ตัว ก้าวร้าว ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา
ชอบต่อสู้แข่งขัน แสวงหาอำนาจ โลภ ฯลฯ
จากลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้คนที่แข็งแกร่งกว่าได้เปรียบคน คนอ่อนแอจะถูกทำลาย
ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกข่มเหงรังแก สังคมในลักษณะนี้จึงมีแต่ความวุ่นวาย
ขาดความมั่นคง
เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดาพวกที่อ่อนแอจึงยอมมอบตัวอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของผู้ที่แข็งแรงกว่า
และบุคคลผู้นี้องที่จะเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ทางสังคมเพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย
สวัสดิภาพและสันติภาพขึ้นในสังคม และนี่ก็คือบ่อเกิดของรัฐนั่นเอง”
·
ทฤษฎีการใช้กำลังบังคับ (force
theory)
ทฤษฎีนี้มุ่งอธิบายว่ามนุษย์หากอยู่ลำพังย่อมถูกผู้มีกำลังเหนือกว่ากดขี่ข่มเหง
จึงต้องอยู่รวมกันเพื่อการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และรวมถึงการไปรุกรานผู้อื่นด้วย
การอยู่รอดจากภัยคุกคามด้วยกำลังจากภายนอกและการสร้างความยิ่งใหญ่ให้มีอำนาจมากขึ้นกับกลุ่มตัวเองจึงเป็นเหตุจำเป็นให้เกิดการรวมตัวกัน
เกิดเป็นรัฐที่มีอำนาจอันชอบธรรมในการใช้กำลังทั้งเพื่อการปกป้องตัวเองและเพื่อรุกรานคนอื่น
ลัทธินาซีสนับสนุนทฤษฎี
·
ทฤษฎีธรรมชาติ (Natural
Theory) หรือทฤษฎีสัญชาตญาณ (Instinctive Theory)
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าเป็นธรรมชาติหรือสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัว
เป็นตระกูล เป็นเผ่า เหมือนสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่อยู่เป็นสังคมขนาดใหญ่ เช่น
สังคมมด สังคมผึ้ง สังคมลิง ซึ่งภายในสังคมหรือกลุ่มก้อนเหล่านี้มีระบบระเบียบ
มีการแบ่งหน้าที่การทำงาน มีการบริหารจัดการ มีผู้นำ
การอยู่เป็นกลุ่มสังคมแบบนี้ทำให้มนุษย์ดำรงอยู่ได้ดีกว่าการอยู่คนเดียว
มนุษย์เองก็ได้เรียนรู้ประโยชน์จากการอยู่ร่วมกันด้วย
และเกิดการพัฒนาการบริหารจัดการ
การปกครองในกลุ่มของตนเองว่าควรเป็นอย่างไรจึงจะดีที่สุด
เอกสารประกอบคำบรรยาย รหัสวิชา2551120
ชาญชัย คุ้มปัญญา
--------------------------