“No Kings” ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจากสส. สว. รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
การประท้วง
"No Kings" (ไม่เอาเจ้า)
น่าสนใจเพราะรวมคนอเมริกันหลายล้าน คนเหล่านี้มาจากหลายสาขาอาชีพ จากกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายและกลุ่มหัวก้าวหน้ากว่า
200 องค์กรทั่วประเทศ แกนนำหลักคือ “Indivisible” เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนระดับรากหญ้า นอกจากนี้ยังมีแนวร่วมสำคัญอื่นๆ
เช่น สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (American Civil Liberties Union: ACLU) กลุ่มสิทธิผู้บริโภค Public Citizen สหภาพแรงงานครู
(American Federation of Teachers) กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน
Human Rights Campaign กลุ่ม MoveOn และ
United We Dream
ตุลาคม 2025 จัดขึ้นทั่วทั้ง
50 รัฐ ในเมืองใหญ่และเมืองเล็กกว่า 2,500 แห่ง มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคนเช่นกัน โดยใส่เสื้อผ้าสีเหลือง
น่าชื่นชมว่าเป็นการชุมนุมประท้วงโดยสงบ
ทางการเฝ้าระวังเหตุร้ายอย่างดี
ที่มาของ "No Kings" กับ "Presidential King":
ตอกย้ำว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศประชาธิปไตยที่อำนาจผู้ปกครองถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่ระบอบราชาอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งบัดนี้กำลังถูกสั่นคลอนด้วยรัฐบาลทรัมป์
ผู้ร่วมชุมนุมต้องการชี้ว่า "โดนัลด์
ทรัมป์ ไม่ใช่ราชา" อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ตั้งแต่ทรัมป์สมัยแรก มีคนเอ่ยถึงทรัมป์ด้วยคำว่า "Presidential
King" (ประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจเยี่ยงราชา)
ชี้ว่าประธานาธิบดีในระบอบประชาธิปไตยมีพฤติกรรมหรือใช้อำนาจราวกับว่าตนเองเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ผู้นำที่มองว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ผูกมัดด้วยรัฐธรรมนูญ
และคาดหวังความภักดีจากทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข
ลักษณะสำคัญของ "Presidential
King":
ในกรณีของทรัมป์
1)
ใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ
พยายามให้ประธานาธิบดีมีอำนาจทางทหารมากขึ้น
เช่น ให้กองทัพจัดสวนสนามในวอชิงตัน ดี.ซี.
ซึ่งตรงกับวันเกิดของทรัมป์และวันครบรอบของกองทัพบกสหรัฐ
ถูกวิจารณ์ว่านำทหารมาข้องเกี่ยวกับการเมือง การส่ง national guard เข้าหลายเมืองหลายรัฐที่ถูกวิพากษ์ว่าไม่จำเป็น
ตามรัฐธรรมนูญประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร
และมีอำนาจพิเศษในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ
แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ ทรัมป์พยายามยึดว่าประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดเหนือทุกอำนาจ
อ้างเหตุผลทำเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
2)
มองว่าตนอยู่เหนือกฎหมาย
หลายนโยบายของทรัมป์หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย
พยายามใช้อำนาจเกินตัว ไม่เหมาะกับสถานการณ์ นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal
Tariffs) เป็นอีกประเด็นที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล
แสดงท่าทีว่ากฎหมายที่ใช้กับพลเมืองทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้กับตนเอง
ประธานาธิบดีมีสิทธิพิเศษ
พยายามใช้สิทธิพิเศษกับคดีความของตนทั้งที่เกิดในกับนอกช่วงดำรงตำแหน่ง
พยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องตนเองและพวกพ้อง
3)
เรียกร้องความภักดีส่วนบุคคล
ตามกฎหมายประธานาธิบดีบัญชาการตามสายงาน ขอบเขตกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ทุกนายลูกจ้างรัฐทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย จงรักภักดีต่อประเทศ
อเมริกาที่เป็นของคนอเมริกัน
ทรัมป์คาดหวังให้เจ้าหน้าที่รัฐ
สมาชิกพรรค แม้กระทั่งกองทัพ ให้ภักดีต่อตัวเขาเป็นการส่วนตัว
มากกว่าภักดีต่อรัฐธรรมนูญหรือประเทศชาติ ใครไม่ภักดีจะถูกมองว่าเป็นศัตรู
4)
โจมตีสถาบันตรวจสอบอำนาจ
ทรัมป์พูดว่าสื่อมวลชนเป็นศัตรูของประชาชน
ระบบศาลยุติธรรมต่อต้านประธานาธิบดี กระบวนการเลือกตั้งไม่โปร่งใส (ทรัมป์ยืนยันการเลือกตั้งปี
2020 ตนแพ้เพราะถูกโกงอย่างเป็นระบบ ฝ่ายทรัมป์ฟ้องหลายศาลหลายรัฐ ได้คำตอบว่าการเลือกตั้งมีความผิดพลาดบ้าง
แต่เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค คะแนนที่คาดเคลื่อนไม่มีผลต่อแพ้ชนะ
ถึงกระนั้นทรัมป์ยืนยันว่าตนแพ้เพราะโดนโกง)
5)
ไม่ยอมรับความเห็นต่าง
ระบอบประชาธิปไตยเปิดกว้าง
รับฟังความคิดเห็นหลากหลาย แต่ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคือการโจมตีส่วนบุคคล
กระทั่งชี้ว่าความเห็นต่างคือการทรยศชาติ
ทรัมป์ตีความว่าใครที่คิดเห็นต่างนั้นผิดหมด
ตนถูกต้องที่สุดแล้ว บางคนที่เห็นต่างเพราะมุ่งเล่นงานทางการเมือง
มกราคม 2017 ทรัมป์กล่าวว่าสื่อส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้ (dishonesty) จอมปลอม (deceit) และหลอกลวง (deception) ทำตัวคล้ายพรรคฝ่ายค้าน สื่อไม่ยุติธรรมต่อตน ตีตราว่าตนเป็นฝ่ายผิดตั้งแต่ต้น
อีกหลักฐานที่ชี้ชัดคือทรัมป์มักจะปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เห็นว่าไม่ภักดีต่อตน
กระทั่งคิดเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Federal
Reserve System) นักกฎหมายส่วนใหญ่คิดว่าประธานาธิบดีไม่น่าจะมีอำนาจปลดประธาน
Fed เพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล (เช่น
การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย) แต่ด้วยทรัมป์เห็นว่าประธาน Fed คนปัจจุบันไม่ทำตามความต้องการ จึงพยายามกดดันครั้งแล้วครั้งเล่า
ในอีกมุมตีความว่า
ในฐานะผู้นำประเทศอยากให้ทุกหน่วยงาน (แม้กระทั่งองค์กรอิสระ)
สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ร่วมกันเอาชนะความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ที่กำลังประสบปัญหาขาดดุลการค้าการคลัง แต่ข้อนี้ถูกวิพากษ์ว่าเสียการถ่วงดุล
อันตรายมากหากผู้นำประเทศนำผิดทิศผิดทาง
ผลโพลครั้งแล้วครั้งเล่าสรุปว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่คิดว่ารัฐบาลไปผิดทิศผิดทาง
6)
ลัทธิบูชาตัวบุคคล (Cult of Personality)
ทรัมป์จะพยายามสร้างบรรยากาศที่ยกย่องเชิดชูตนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ไร้ที่ติ
ความสำเร็จของชาติขึ้นอยู่กับตัวเขาเพียงคนเดียว มักชี้ผู้นำคนอื่นพรรคอื่นแย่
(เพื่อสะท้อนว่าตัวเองดี) แต่ละนโยบายจะบอกว่าได้ผลดีที่สุด ดีที่สุดในรอบร้อยปี
ฯลฯ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นประธานาธิบดี
พวกที่ต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต
แต่ในขณะเดียวกันควรเข้าใจว่าทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจากสส. สว.
รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง การประท้วง "No Kings" จึงเป็นการแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย
ส่วนในอนาคตสหรัฐจะกลายเป็นอำนาจนิยมหรือไม่
เป็นเรื่องน่าติดตามเพราะจะส่งผลต่อนานาชาติ
-------------
บรรณานุกรม :
1. Democrats Condemn Trump Administration for Secrecy on Boat Strikes. (2025,
October 30). NYT. Retrieved from https://www.nytimes.com/2025/10/30/us/politics/trump-democrats-boat-strikes.html
2. President Trump defends Steve Bannon, slams the media as the
‘opposition party’. (2017, January 28). New York Daily News. Retrieved
from
http://www.nydailynews.com/news/politics/trump-defends-bannon-slams-media-opposition-party-article-1.2957936
-----------------
.png)