คำแถลงนโยบายประจำปี 2024 เหมือนการหาเสียงมากกว่าซึ่งไม่แปลกเพราะตรงกับปีเลือกตั้ง แม้ไม่เอ่ยว่าคำว่า “ทรัมป์” แต่ผูกประเด็นเข้ากับคู่แข่งการเมืองอย่างชัดเจน
7 มีนาคม 2024 ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าว “คำแถลงนโยบายประจำปี” (State of the
Union) 2024 ปีสุดท้ายของการเป็นประธานาธิบดีสมัยนี้และจะมีการเลือกช่วงปลายปี
รวบรวมผลงานเด่น นำเสนอนโยบายอนาคต ส่วนใหญ่ผูกโยงเข้ากับการเมือง
เห็นชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อการเลือกตั้ง บทความนี้นำเสนอบางส่วนพร้อมวิพากษ์ ดังนี้
ประการแรก เสรีภาพประชาธิปไตยโดนโจมตี
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่าทุกวันนี้เสรีภาพกับประชาธิปไตยสหรัฐโดนเล่นงานทั้งในประเทศกับจากศัตรูต่างแดน
ปูตินรัสเซียบุกยูเครน ทั่วยุโรปปั่นป่วนและน่าจะทำสงครามต่อ
ถ้าเรายืนเคียงข้างและให้อาวุธยูเครนจะสามารถหยุดรัสเซีย
โดยไม่มีทหารอเมริกันที่นั่นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป แต่อดีตประธานาธิบดีคนก่อน
(หมายถึงทรัมป์) กล่าวยอมให้รัสเซียทำอะไรก็ได้ตามที่ปูตินต้องการ เท่ากับยอมจำนนต่อผู้นำรัสเซีย
เป็นคำพูดอันตรายและรับไม่ได้
สหรัฐเป็นชาติผู้ก่อตั้งนาโตของเหล่าประเทศประชาธิปไตยเพื่อป้องกันสงคราม
รักษาสันติภาพ ในสมัยรัฐบาลนี้นาโตเข้มแข็งกว่าอดีต
ฟินแลนด์กับสวีเดนร่วมเป็นสมาชิกพันธมิตรทางทหารที่เข้มแข็งที่สุดของโลก ถ้าสหรัฐเดินจาก
ยูเครนจะตกอยู่ในอันตราย ตามด้วยยุโรป โลกเสรีทั้งมวล พวกต่อต้านเราจะฮึกเหิม
เราจะไม่เดินจากไม่ยอมจำนน
จากนั้นไบเดนกล่าวถึงประชาธิปไตยอเมริกากำลังสะเทือนจากผู้ไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจอย่างสงบเมื่อ
6 มกราคม 2020 (หมายถึงทรัมป์กับพวกสุดโต่ง)
เป็นภัยร้ายแรงต่อประชาธิปไตย เขาล้มเหลวแต่ภัยคุกคามนี้ยังอยู่
ขอให้พวกเราทั้งหลายร่วมกันปกป้องประชาธิปไตย เคารพเลือกตั้งเสรีและยุติธรรม ฟื้นฟูความเชื่อมั่นสถาบันต่างๆ
ต่อต้านความรุนแรงทางการเมือง
วิพากษ์:
แต่ไหนแต่ไรประธานาธิบดีโจ ไบเดนพูดเสมอว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับ MAGA Republicans
(พวกที่สนับสนุนทรัมป์อย่างเข้มข้น) เป็นพวกสุดโต่ง (an
extremism – ไม่ใช่พวกประชาธิปไตย) นิยมความรุนแรง จงเกลียดจงชัง
สร้างความแตกแยก ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่เชื่อหลักนิติธรรม ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
รวมความแล้วไบเดนตีตราว่าเป็นพวกกึ่งเผด็จการ (semi-fascism) คุกคามบั่นทอนประชาธิปไตย
ไบเดนพยายามชี้ว่าตน (พรรคเดโมแครท) เป็นฝ่ายประชาธิปไตย
ส่วนทรัมป์อยู่ฝ่ายตรงข้าม ถ้าต้องการปกป้องประชาธิปไตยขอให้เลือกพรรคเดโมแครท
ประการที่ 2 เศรษฐกิจที่คิดจากล่างขึ้นบน
ประชาชนจะเป็นผู้เสนอแนะแนวทางพัฒนาโดยรัฐจะลงทุนพัฒนาทุกด้านที่ให้ผลดีต่อทุกคน
ทุกวันนี้เศรษฐกิจของเราเป็นที่ชื่นชมทั่วโลก
ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น สร้างงาน 15 ล้านตำแหน่งใน 3 ปี งานในโรงงาน 8 แสนตำแหน่ง อัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 50 ปี 16 ล้านคนเริ่มกิจการเล็กๆ ของตน
คนเข้าถึงประกันสุขภาพมากขึ้น เงินเฟ้อลดจาก 9% เป็น
3% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สหภาพแรงงานเข้มแข็งอีกครั้ง
ราคายาลดลงและกำลังเจรจาให้ลดลงอีก 500 รายการช่วยประหยัดภาษีถึง
200,000 ล้านดอลลาร์
รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนซื้อบ้าน สร้างบ้านราคาประหยัด 2 ล้านหลังเพื่อดึงราคาบ้านกับค่าเช่าให้ต่ำลง
ส่งเสริมการศึกษาให้เป็นระบบดีที่สุดของโลก เด็กอายุ 3-4 ขวบเริ่มเข้าชั้นเตรียมอนุบาล
วางหลักสูตรให้ผู้สำเร็จการศึกษามัธยมปลายได้วุฒิบัตรเพิ่ม 2-4 ใบ เพิ่มการเรียนพิเศษในภาคฤดูร้อน
นักเรียนมัธยมปลายมีประสบการณ์ฝึกงานในบริษัท ค่าเทอมระดับวิทยาลัยจะลดลง
รัฐบาลนี้ช่วยแก้ปัญหาหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกือบ 4 ล้านคน
ลดการขาดดุลของรัฐบาลกลางกว่า
1 ล้านล้านดอลลาร์และจะลดอีก
1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ส่งเสริมทุนนิยมแต่ต้องเสียภาษีอย่างเป็นธรรมด้วย เพื่อนำไปลงทุนพัฒนาชาติ
ระบบสาธารณสุข การศึกษา การป้องกันประเทศและอื่นๆ
วิพากษ์: ไบเดนพยายามชี้ให้เห็นภาพบวกทั้งที่ไม่เป็นจริงทั้งหมด
ปลายปีก่อน Moody’s Investors Service ปรับลดเครดิตเรตติ้งรัฐบาลสหรัฐจาก
stable เป็น negative ด้วยเหตุผลงบประมาณอ่อนแอ
ชี้ว่าต้องแก้การใช้จ่ายภาครัฐที่ก่อหนี้สูงขึ้นทุกปี
ฝ่ายการเมืองต้องร่วมกันแก้ปัญหา
แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมาหนี้มีแต่จะพอกพูนและสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ
(CBO) คาดทศวรรษหน้าสหรัฐจะขาดดุลหนักกว่าปัจจุบัน
ทั้งยังต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้น ปี 2034 จะขาดดุถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์เทียบกับปัจจุบันที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์
อัตราดอกเบี้ยเป็นอีกปัจจัยทำให้ยอดหนี้โตอย่างรวดเร็ว
ดอกเบี้ยที่งอกเงยขึ้นจะมากพอๆ กับงบกลาโหม
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยแม้ปีนี้น่าจะลดลงแต่อนาคตจะค่อยๆ สูงขึ้น
นอกจากนี้รายจ่ายด้านประกันสังคม การดูแลสุขภาพ
จะเพิ่มขึ้นมากตามสัดส่วนคนสูงวัย
ด้าน Jamie Dimon จาก JPMorgan เตือนว่าวิกฤตหนี้สาธารณะน่าจะเกิดและจะระเบิดทันทีในวันที่เศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่ ปัญหาหนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่นับวันเสียงเตือนดังขึ้นทุกที
หากไม่แก้ไขประชาชนจะเสียงานเสียบ้าน ไม่ศรัทธาระบอบการเมืองเศรษฐกิจ
ทั้งๆ
ที่รู้ปัญหาแต่ทั้งรัฐบาลจากพรรครีพับลิกันกับเดโมแครทยังก่อหนี้เพิ่ม
หนี้สาธารณะกลายเป็นระเบิดเวลาที่รัฐบาลสร้างขึ้น
หากวันใดระเบิดออกประชาชนคนรากหญ้าคือผู้รับผลกระทบมากที่สุด
และไม่รู้ว่าใครจะช่วยได้อีก เพราะเมื่อถึงตอนนั้นรัฐบาลยังเอาตัวไม่รอด
การที่ไบเดนพยายามพูดแต่มุมบวกจึงสร้างภาพบิดเบือนความจริง
นักวิเคราะห์บางคนตีความว่าที่อเมริกาเจริญมาจากการสร้างหนี้
คำถามคือเช่นนี้ยั่งยืนแค่ไหน
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวต่อว่ารัฐบาลชุดก่อนลดภาษีคนรวยกับบรรษัทเอกชน
2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลเพิ่ม รัฐบาลชุดก่อนก่อหนี้แรงสุดตั้งแต่ประวัติศาสตร์ก่อตั้งประเทศ
ปี 2020 50 บริษัทใหญ่ที่สุดทำกำไร 40,000 ล้านดอลลาร์โดยไม่เสียภาษีแก่รัฐบาลกลางเลย
เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ตอนนี้บริษัทเหล่านี้จะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 15%
และควรเพิ่มเป็น 21% ในอนาคต
อีกตัวอย่างคือสหรัฐมีเศรษฐีพันล้านราวพันคน
โดยเฉลี่ยแล้วคนเหล่านี้เสียภาษีแก่รัฐบาลกลางเพียง 8.2% เป็นอัตราต่ำกว่าครู
ภารโรงและพยาบาล รัฐบาลเสนอเก็บภาษีมหาเศรษฐีอย่างน้อย 25% จินตนาการว่าภาษีที่มากขึ้นใช้เป็นงบประมาณสำหรับดูแลเด็กนับล้าน
พัฒนาพวกเขาให้มีงานทำที่ดี ช่วยให้เศรษฐกิจเจริญ
หรือเป็นเงินช่วยเหลือคนที่ออกจากงานเพื่อดูแลคนป่วยที่บ้าน
ผู้ดูแลคนชราที่บ้านมีรายได้จากรัฐ นี่คือนโยบายเพื่อคนสูงวัย
พวกรีพับลิกันจะตัดงบสวัสดิการสังคม
ลดภาษีเศรษฐี แต่รัฐบาลชุดนี้ทำตรงข้าม
ประเด็นผู้อพยพย้ายถิ่น
จะเข้มงวดความมั่นคงตามแนวชายแดน
เพิ่มเจ้าหน้าที่เพิ่มผู้พิพากษาดูแลคดีประเภทนี้โดยตรง
เพิ่มเครื่องมือตรวจจับล้ำสมัย
ให้ประธานาธิบดีมีอำนาจปิดพรมแดนชั่วคราวถ้าผู้อพยพเข้ามามาก ผู้อพยพย้ายถิ่นไม่ใช่ยาพิษของประเทศ
รัฐบาลจะไม่แยกครอบครัวของพวกเขา ไม่กีดกันชาวต่างชาติด้วยศาสนาความเชื่อ
ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งประเทศนี้ประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติ
พวกเขาทั้งหมดคือคนอเมริกัน รัฐบาลยึดมั่นสิทธิขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคเท่าเทียม
วิพากษ์: ฐานเสียงของพรรคเดโมแครทคือพวกคนผิวสี
ชนกลุ่มน้อยรวมทั้งคนเชื้อสายเอเชีย (พลเมืองอเมริกันเชื้อสายเอเชีย) พวกกรรมกร
ในขณะที่คนผิวขาวเลือกรีพับลิกัน หลายคนนิยม White Supremacy พวกนี้สนับสนุนทรัมป์อย่างเหนียวแน่น
แม้ทรัมป์ทำผิดกฎหมายหลายเรื่องที่คดีความจบแล้ว
ในสมัยรัฐบาลทรัมป์
เหตุขัดแย้งเรื่องคนผิวสี เกลียดชังคนจีน ทรัมป์มักแสดงท่าทีสนับสนุนพวกผิวขาวสุดโต่งที่นิยม
White Supremacy เรื่องที่คนผิวขาวบางกลุ่มเห็นว่าตนเป็นผู้ปกครองประเทศอันชอบธรรม
มีอภิสิทธิ์เหนือชนกลุ่มน้อยชนเชื้อสายอื่นๆ
เป็นความชอบธรรมที่คนผิวขาวใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ส่วนคนผิวสีต้องเป็นผู้รับใช้
การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐไม่ใช่ทัศนคติส่วนบุคคลแต่เป็นโครงสร้างสังคม
ยึดถือในคนกลุ่มก้อนใหญ่ คนเหล่านี้ต่อต้านความเสมอภาคเท่าเทียมแม้คนผิวสี
ชนกลุ่มน้อยเป็นพลเมืองอเมริกันตามกฎหมาย
รวมความแล้วคำแถลงนโยบายประจำปี 2024 เหมือนการหาเสียงมากกว่าซึ่งไม่แปลกเพราะตรงกับปีเลือกตั้ง
แม้ไม่เอ่ยว่าคำว่า “ทรัมป์” แต่ผูกประเด็นเข้ากับคู่แข่งการเมืองอย่างชัดเจน
บรรณานุกรม :
1. Here’s the full
transcript of President Joe Biden’s State of the Union address. (2024, March
7). Market Watch. Retrieved from
https://www.marketwatch.com/story/heres-the-full-transcript-of-president-joe-bidens-state-of-the-union-address-4af8a940?mod=mw_latestnews
2. U.S. deficit will soar in the next decade, new CBO
projections show. (2024, February 8). Al Arabiya. Retrieved from
https://www.axios.com/2024/02/07/us-deficit-interest-rates-cbo-projections
-----------------