สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
ตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าคนอเมริกันต้องแบกรับภาระครึ่งหนึ่งของภาษีทรัมป์
2.0 ไม่ตรงกับที่บางคนเข้าใจว่าต่างชาติจะเป็นแบกรับภาษีทั้งหมด โดยเฉพาะพวกสนับสนุนทรัมป์ที่คิดเช่นนั้น
เหตุที่คนอเมริกันคิดว่าต่างชาติคือผู้จ่ายภาษี
เพราะทรัมป์พูดซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ตอนหาเสียงว่าสหรัฐถูกต่างชาติเอาเปรียบ อยู่ในระบบการค้าที่ไม่เป็นธรรม
(ทั้งๆ ที่เป็นการค้าเสรีใช้ทั้งโลก) ต้นเหตุคนอเมริกันตกงาน โรงงานล้มละลาย วิธีแก้ของเขาคือใช้มาตรการภาษีศุลกากร
ขึ้นภาษีหลายสิบประเทศทั่วโลกตามที่เป็นข่าว
กลายเป็นสงครามการค้าที่ยังคงร้อนแรงในตอนนี้
ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 2,400
ดอลลาร์:
ตุลาคม 2025 Goldman Sachs พบว่า 6 เดือนหลังมาตรการภาษี คนอเมริกันต้องแบกภาระ 55% ของภาษีดังกล่าว
ไม่ตรงกับที่บางคนเข้าใจว่าต่างชาติจะเป็นแบกรับภาษีเกือบทั้งหมด คนอเมริกันควรยอมรับแล้วว่าเขาคือผู้เสียภาษีหลักเพื่อแก้ปัญหาขาดดุลตามนโยบายของรัฐบาล
ส่วนต่างชาติกระจายภาษีนั้นในหลายประเทศมากบ้างน้อยบ้าง
วิเคราะห์:
ต้องไม่ลืมว่ามาตรการภาษียังทำงานไม่เต็มที่
ข้อมูลปีหน้าจะชัดเจนกว่า
รายงานของ
Goldman Sachs ตอกย้ำรายงานของสถาบันอื่นๆ ที่ชี้ในทางเดียวกัน
ยกตัวอย่าง สิงหาคม 2025 สถาบันวิจัย Yale Budget Lab ประเมินว่านโยบายภาษีศุลกากร
(Tariffs) ของรัฐบาลจะส่งผลให้ราคาสินค้าโดยรวมสูงขึ้น เฉพาะปี 2025 ครัวเรือนอเมริกันต้องแบกรับภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
2,400 ดอลลาร์
แต่ตัวเลข
2,400 ดอลลาร์ไม่ใช่ภาษีที่เรียกเก็บจากประชาชนโดยตรงทั้งหมด
บางส่วนเป็น "ต้นทุนแฝง"
ที่เกิดจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายชนิดที่แพงขึ้นตลอดทั้งปี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า
โทรศัพท์มือถือ (ที่ผลิตหรือใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ) แม้แต่อาหารบางชนิด
Yale Budget
Lab ชี้ว่าแม้นโยบายภาษีมีเป้าหมายปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
แต่สร้างภาระให้กับผู้บริโภคในประเทศเช่นกัน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างเป้าหมายทางการเมือง (ปกป้องอุตสาหกรรม ต่อรองกับจีน)
กับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประชาชน
หากค่าครองชีพสูงขึ้น
อำนาจจับจ่ายลดลง การบริโภคโดยรวมของประเทศย่อมชะลอตัว
กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
วิเคราะห์:
สิ่งที่ตามมาคือรัฐบาลสหรัฐจะจับตาดัชนีต่างๆ
และปรับอัตราภาษีขึ้นลง เพื่อให้นโยบายภาษีก่อประโยชน์มากที่สุด ประโยชน์ที่ได้ครอบคลุมหลายด้านนอกเหนือประเด็นขาดดุลการค้า
สหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ:
เมื่อสังคมเข้าใจแล้วว่าต้องจ่ายเพิ่ม รัฐบาลทรัมป์จึงออกมาตรการแจก 2,000
ดอลลาร์ต่อคน ใช้คำว่าเป็นเงินปันผลจากภาษีศุลกากร (tariff dividend) เชื่อว่าเงินช่วยนี้จะลดแรงต้านภาษีนำเข้าที่ทำให้สินค้าขึ้นราคา
ในขณะเดียวกัน จีนเสียหายไม่น้อยเช่นกัน แม้จีนมีประสบการณ์มาแล้วตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
(ครั้งนั้นโดนภาษีสหรัฐ 20-30%) เอกชนปรับตัวมาแล้วระดับหนึ่ง
แต่ครั้งนี้กระแสภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แรงมาก
ถ้าจำได้ช่วงหนึ่งทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีน
145% จนทางการจีนประกาศว่าจะไม่โต้กลับด้วยภาษีแล้ว
เพราะระดับภาษีสูงเกินกว่าจะซื้ออีกแล้ว
และน่ากังวลยิ่งขึ้นเพราะทรัมป์เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้
อาจปรับขึ้นภาษีตามใจชอบทุกเวลา ช่วงตุลาคมมีข่าวว่าจะขึ้นภาษีอีก 100% และกลับไปกลับมา จนนักลงทุนต้องหวาดผวา ตลาดทุนตลาดเงินปั่นป่วนตาม
“คำพูดรายวัน” ของผู้นำสหรัฐ
ตราบใดที่ยังใช้กำแพงภาษี
ควรคาดว่าจีนเสี่ยงโดนภาษีตอบโต้จากสหรัฐ จะช้าหรือเร็ว
จะมากหรือน้อยขึ้นกับการเจรจาต่อรอง และอาจขึ้นๆ ลงๆ
แล้วแต่ว่าผู้นำสหรัฐสบอารมณ์หรือไม่ มีข้ออ้างเหตุผลขึ้นภาษี
สงครามไฮบริดระหว่างสหรัฐกับจีน:
ที่น่าติดตามคือมาตรการที่มิใช่ภาษีที่ทรัมป์
2.0 ใช้กับหลายประเทศและหลายเรื่องส่งผลเสียต่อจีน
ดังที่ทางการจีนเตือนนานาชาติเรื่อยมาให้ระวังอย่าต่อต้านจีนเพราะแรงกดดันจากภาษีทรัมป์
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้าเท่านั้น
ควรเรียกว่าเป็นสงครามไฮบริด (Hybrid War or Warfare: HW) ที่รวมสงครามทุกรูปแบบเข้าด้วยกัน
การค้าหรือเศรษฐกิจเป็นเพียงแนวรบหนึ่งเท่านั้น
สงครามไฮบริดที่มหาอำนาจกระทำต่อกันมักจะกินเวลายาวนาน
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ปิดล้อมที่สหรัฐปิดล้อมจีนทุกด้าน รัฐบาลสหรัฐพยายามเรื่อยมาที่จะสกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นพลังขับเคลื่อนพลังอื่นๆ
เช่น พลังด้านเทคโนโลยี พลังอำนาจทางทหาร พลังการทูต
จึงไม่แปลกที่รัฐบาลไบเดนคงมาตรการภาษีของทรัมป์สมัยแรก
(สังเกตว่าอยู่คนละพรรคแต่ไบเดนยึดแนวทางทรัมป์แบบเงียบๆ
ไม่ค่อยพูดเรื่องภาษีที่เก็บจีน 20-30%) นอกจากนี้รัฐบาลไบเดนเพิ่มนโยบายสร้างระบบซับพลายเชนใหม่
แม้อ้างว่าแก้ปัญญาโรคระบาดโควิด-19 แต่ลึกๆ แล้วคือยึดตามยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนหรือสงครามไฮบริดนั่นเอง
(ซับพลายเชนใหม่ที่ไบเดนคิดสร้าง ไม่มีจีนในระบบ
สหรัฐจะเน้นค้าขายกับพวกเดียวกันเท่านั้น)
ดีต่อเนื่องจนถึงกลางปีหน้า:
ในการเจรจาการค้าล่าสุด
สหรัฐ-จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า ทรัมป์ระงับภาษีตอบโต้ที่เคยขู่ไว้
โดยจะคงสถานะนี้ไปจนถึงพฤศจิกายน 2026 ภาษีสินค้าจีนที่เก็บจริงๆ ตอนนี้ถอยลงมาเหลือ
10-32%
ทั้งสองประเทศจะระงับเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือต่อกัน
จีนจะช่วยซื้อสินค้าเกษตร สหรัฐเข้าถึงแร่หายากง่ายขึ้น ส่วนทรัมป์ไม่ขึ้นภาษีตอบโต้ตามคำขู่
และเพิ่งกล่าวไม่นานนี้ว่าในสมัยของท่านจะไม่เกิดสงครามจีน-ไต้หวันซึ่งเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ
เป็นส่วนหนึ่งของสมการความสัมพันธ์กับทุกประเทศ
จากสถานการณ์ความตึงเครียดลดลง
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกล่าวว่า จีนกับสหรัฐควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้และยึดแนวทางนี้ต่อเนื่อง
เห็นชัดว่ารัฐบาลจีนพอใจกับความสัมพันธ์ทวิภาคีในตอนนี้ ข่าวดีอีกชิ้นคือประธานาธิบดีทรัมป์ตอบรับคำเชิญเยือนจีนในเดือนเมษาปีหน้า
จากสถานการณ์ทั้งหมด คาดว่าความสัมพันธ์สหรัฐกับจีนจะดีต่อเนื่องจนถึงกลางปีหน้า
และอาจดีจนถึงสิ้นปี 2026
เป็นข่าวดีทั้งต่อตลาดทุนตลาดเงิน
การค้าระหว่างประเทศ ล่าสุด Goldman Sachs ประเมินว่าปี 2026
เศรษฐกิจจีนจะโตถึง 6% หลังทรัมป์ระงับภาษีตอบโต้เป็นเวลา 1 ปี
ช่วยให้ภาพเศรษฐกิจจีนดูดีขึ้น ปัจจัยบวกอื่นๆ คือทางการจีนยังคงส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยี
โครงการขนาดใหญ่ต่างๆ การส่งออกยังคงสดใส คาดว่าปีนี้ส่งออกน่าจะโตอีก 8%
ส่วนปัจจัยลบคือภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด และการเงินของรัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศที่มีปัญหาหนัก
คนหนุ่มสาวว่างงานมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ต่อไป
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบันเติบโตแต่เปราะบางจากสงครามการค้า
ตามนโยบาย "America First" พยายามดึงฐานการผลิตกลับประเทศ
ความเสี่ยงเงินเฟ้อยังมีอยู่ แม้ตัวเลขการจ้างงานยังดูดี
แต่ราคาสินค้ามีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นจากต้นทุนภาษีที่ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค (Cost-push
inflation) นักลงทุนมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายรายวัน แต่ตลาดทุนยังอยู่ในภาวะดี
คนอเมริกันกังวลสินค้าแพง
วิเคราะห์: สงครามการค้าเป็นสงครามที่ปรับความเข้มข้นตลอดเวลา
ฝ่ายตัวเองต้องไม่เสียหายจนรับไม่ได้ มหาอำนาจสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์
ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์ และเป็นประโยชน์รอบด้าน
ไม่ใช่เรื่องการค้าหรือแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณเท่านั้น
การแข่งขันช่วงชิงระหว่างมหาอำนาจยังไม่จบ และคงไม่จบง่ายๆ ที่ควรเข้าใจคือ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน
ดังนั้น แม้ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจไม่จบ
แต่ยิ่งนานวันยิ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากขึ้น
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนหรือพูดให้กว้างขึ้นคือสงครามไฮบริด จะดำเนินต่ออีกยาวนาน จะเห็น minor power (รัฐขนาดเล็กหรืออำนาจรอง) หลายประเทศพังก่อนหรือกลายเป็นรัฐล้มเหลว
-----------
บรรณานุกรม :1. Trump is losing his foolish trade war. This will cost ordinary Americans
greatly. (2025, August 11). The Guardian. Retrieved from https://www.theguardian.com/commentisfree/2025/aug/11/trump-losing-trade-war
2. U.S.
consumers bearing more than half the cost of tariffs so far, Goldman Sachs
says. (2025, October 13). NBC
News. Retrieved from
https://www.nbcnews.com/business/consumer/us-consumers-bearing-half-cost-tariffs-far-goldman-sachs-says-rcna237283
3. Who qualifies for the potential $2,000 tariff dividend? Here's what to know. (2025,
November 4). yahoodotcom. Retrieved from
https://www.yahoo.com/gma/know-trumps-promise-2-000-193000257.html
4. Why Goldman
Sachs is so optimistic about China. (2025, November 25). Asia Time.
Retrieved from https://asiatimes.com/2025/11/why-goldman-sachs-is-so-optimistic-about-china/
5. Xi says China,
U.S. should keep up momentum in ties, move forward in right direction. (2025, November
25). AP.
Retrieved from https://apnews.com/article/genesis-mission-trump-ai-25acaea44113c2b60111e8b142344737
-----------------



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น