เมื่ออินเดียไม่ยอมรับเงื่อนไขการค้าทรัมป์
แค่สัมพันธ์กับจีนดีขึ้น ชายแดนลดความตึงเครียด รัฐบาลปูตินหวังร่วมมือมากขึ้น เพิ่มอำนาจต่อรองอียู แค่นี้น่าจะคุ้มค่าแล้ว เหนือกว่าภาษี 50% ของทรัมป์
ในช่วงสงครามเย็น
อินเดียวางตัวไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (non-aligned)
สัมพันธ์ทั้งค่ายเสรีนิยมกับสังคมนิยม
ความขัดแย้งด้านพรมแดนกับจีนและจีนที่ก้าวขึ้นมา ผลักให้อินเดียเข้าหาสหรัฐมากขึ้น
พยายามพัฒนาประเทศทุกด้าน รวมทั้งมีอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งน่าจะใช้ต้านจีนโดยตรง
ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าอินเดียไม่คิดอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แค่ต้องการอยู่อย่างสงบ
ดูแลประชากร 1,500 ล้านคน
ความร่วมมือกับสหรัฐดีขึ้นตามลำดับ เข้าร่วมกลุ่ม Quad (กลุ่ม 4 ฝ่าย - Quadrilateral Security Dialogue) เป็นเวทีหารือด้านความมั่นคงของ
4 ประเทศ ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและอินเดีย ที่รัฐบาลไบเดนให้ความสำคัญ
ลึกๆ แล้วสหรัฐหวังให้อินเดียเป็นพันธมิตรทางทหาร (สังเกตว่าสหรัฐ
ออสเตรเลียและญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรทางทหารอยู่แล้ว
อินเดียเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่เป็นพันธมิตร)
ในมุมของอินเดีย
ความร่วมมือทางทหารกับ Quad และอื่นๆ
ไม่ใช่การปูทางสู่การทำสงครามกับจีน
อินเดียเป็นประเทศเดียวในกลุ่มนี้ที่มีพรมแดนทางบกติดจีน
และเคยปะทะทางทหารมาแล้วหลายครั้ง
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า
ในที่สุดยุทธศาสตร์สหรัฐจะต้องทำสงครามตัวแทนกับจีน
ดังเช่นสงครามยูเครนที่นาโตกำลังรบกับรัสเซีย
อินเดียไม่อยากเป็นสนามรบดังเช่นยูเครนที่ยิ่งรบยิ่งพัง
โดยไม่รู้ว่าสงครามจะยุติเมื่อไหร่ สถานการณ์ล่าสุดยังชี้ว่าคงทำสงครามอีกนาน
ต่อจากยูเครนคงเป็นโปแลนด์หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
อินเดียไม่คิดเสียสละเพื่อเสรีประชาธิปไตยโลก
(ตามที่พวกตะวันตกอ้างว่ายูเครนรบเพื่อประชาธิปไตยยุโรป) ถ้าสหรัฐอยากรักษาประชาธิปไตยก็ให้รบเอาเอง
ข่มขู่ด้วยภาษีทรัมป์:
ทรัมป์
2.0 ใช้นโยบายภาษีศุลกากรเพื่อประโยชน์หลายด้าน หวังใช้เรื่องนี้กดดันอินเดีย
ประเด็นที่เป็นข่าวคือให้อินเดียเลิกซื้อใช้น้ำมันรัสเซีย
สิงหาคม 2025 ทรัมป์ 2.0 ขู่ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียอีก 25% กลายเป็นรวม 50% หากอินเดียยังซื้อน้ำมันรัสเซีย
ชี้ว่าช่วยรัสเซียมีเงินทำสงครามเข่นฆ่าคนยูเครน
เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐคว่ำบาตรประเทศที่นำเข้าพลังงานที่เป็นศัตรู
อย่างเช่นอิหร่าน เวเนซุเอลาและรัสเซีย
กรณีที่กระทำต่ออินเดียคือคว่ำบาตรด้วยการขึ้นภาษีศุลกากร
ไม่สนใจว่าอินเดียต้องการเป็นกลาง
ในความคิดของรัฐบาลสหรัฐถ้าไม่เป็นมิตรก็คือศัตรู
ในสายตาของทรัมป์คือ “America First”
อเมริกาต้องได้สิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมายนานาชาติ ผิดศีลธรรมหรือไม่
เป็นอภิมหาอำนาจที่คนอเมริกันภาคภูมิใจ
ใครไม่ยินยอมทำตามที่สหรัฐต้องการก็ต้องถูกลงโทษ
จึงเป็นโจทย์ว่าอินเดียจะอยู่อย่างไรท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ
โอกาสสัมพันธ์กับจีน-รัสเซีย:
ภาษี 50% ของทรัมป์ 2.0
กลายเป็นโอกาสให้อินเดียกับจีนปรับสัมพันธ์ ทั้ง 2
ประเทศตกลงกันว่าจะลดความตึงเครียดแนวชายแดน (มีพรมแดนติดกันถึง 3,488 กิโลเมตร) ต่างฝ่ายจะระงับความขัดแย้งชั่วคราว
เปิดช่องให้การค้าทวิภาคีมากขึ้น
โดยเฉพาะสินค้าที่อินเดียต้องการมากอย่างเช่นแร่หายาก ส่งเสริมการเดินทาง
เพิ่มเที่ยวบิน
วิเคราะห์: รัฐบาลอินเดียทำเช่นนี้
น่าจะด้วยหลายเหตุผล
1)
ชี้ว่าอินเดียเป็นรัฐอธิปไตย ไม่ตกอยู่ใต้การชี้นำของประเทศใด
จะติดต่อค้าขายกับใครก็ได้
2)
อินเดียไม่จำต้องค้ากับสหรัฐเท่านั้น
จีนที่มีพรมแดนติดกันเป็นโอกาสการค้าสำคัญอยู่แล้ว อีกทั้งรัฐบาลจีนอยากค้าขาย
ภาษีทรัมป์มีแต่ส่งเสริมการค้าอินเดีย-จีน สวนทางนโยบายปิดล้อมของสหรัฐ
3) อินเดียไม่ใช่ฝ่ายจีนและไม่ต้องการเป็นฝ่ายสหรัฐเช่นกัน
ขอให้ทุกประฝ่ายเคารพนโยบายตน
ด้านรัสเซียชี้ว่าการพยายามขวางการค้าน้ำมันระหว่างรัสเซียกับอินเดียไม่ใช่เรื่องใหม่
ที่ผ่านมาสามารถแก้อุปสรรค 2 ประเทศมีสัมพันธ์ดีต่อกัน
อินเดียเป็นผู้ซื้ออาวุธรัสเซีย เช่น ขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดี สามารถสกัดภัยทางอากาศจากปากีสถาน
รัสเซียพร้อมอัพเกรด S-400 ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
และมีโครงการร่วมมืออื่นๆ เช่น พลังงานนิวเคลียร์
นเรนทร โมที
(Narendra
Modi) นายกฯ อินเดีย
ถึงกับกล่าวว่ารัสเซียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในยามที่อินเดียเจอปัญหา
วิเคราะห์:
ยามที่สหรัฐกดดันอินเดียคือจังหวะดีที่รัสเซียยื่นมือขยายความสัมพันธ์
เป็นไปได้ว่าจะขายอาวุธใหม่ๆ ให้อินเดียได้มากขึ้นตามนโยบายของรัสเซีย
สหรัฐเล่นงาน BRICS:
รัฐบาลสหรัฐพยายามให้แบ่งข้างเป็น
2 ขั้ว (คล้ายสมัยสงครามเย็น) แต่หลายประเทศไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าทรัมป์
2.0 พยายามเล่นงานแกนนำ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้)
ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยพูดเปรยๆ
ว่าจะใช้มาตรการภาษีเล่นงานกลุ่มนี้หากเลิกใช้ดอลลาร์ ที่ทำแล้วคือขึ้นภาษีบราซิล
50% เพราะรัฐบาลบราซิลไม่ยอมปล่อยตัวอดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโรที่ก่อกบฏ
เป็นการแทรกแซงกิจการภายในบราซิลอย่างชัดเจน
สหรัฐคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง
ทำสงครามการค้ากับจีน
อำนาจควบคุมพลังงานเชื้อเพลิง:
ประเด็นหนึ่งที่น่าคิดคือ
การที่อินเดียกำลังทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางด้านพลังงานเชื้อเพลิง ทำให้รัฐบาลอินเดียมีอำนาจควบคุมระบบพลังงานของหลายประเทศ
ไม่ต่างจากรัฐบาลสหรัฐที่พยายามควบคุมระบบพลังงานโลก เส้นเลือดเศรษฐกิจนานาชาติ
เพิ่มอำนาจต่อรองต่อหลายประเทศ รวมทั้งพวกอียูที่ปากบอกว่าไม่ซื้อพลังงานรัสเซีย
แต่ซื้อใช้ของรัสเซียผ่านอินเดีย อำนาจต่อรองที่ได้จากการขายน้ำมันน่าจะเป็นประโยชน์สำคัญที่อินเดียได้
นอกเหนือจากกำไรที่ได้จากการซื้อไปขายมา
จะทิ้งสหรัฐไปอยู่ฝ่ายจีน-รัสเซียหรือไม่:
คำตอบคือไม่
เพราะจุดยืนคือสัมพันธ์กับทุกฝ่าย อินเดียยังคงอยู่ในกลุ่ม Quad ซ้อมรบกับสมาชิกกลุ่มสม่ำเสมอ เพียงแต่ช่วงนี้ห่างสหรัฐมากขึ้น
ความจริงคือแม้หน้าสื่อมีข้อพิพาทแต่หากมองรอบด้าน
สหรัฐกับอินเดียยังคงร่วมมือหลายด้าน และเพิ่มขึ้นหลายโครงการ
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นตัวอย่างที่อินเดียกำลังพัฒนา
สหรัฐคือตลาดสำคัญและเอกชนสหรัฐต้องการร่วมมือกับอินเดีย
คาดว่าในอนาคตจะร่วมทุนอีกหลายโครงการ ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ภาษีทรัมป์
50% ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นไปได้ว่าอาจใช้อีกสัก 1-2 ปี
แล้วปรับลด หรือรอการตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป
อาจตีความว่าความสัมพันธ์กับสหรัฐช่างอ่อนไหวไม่แน่นอน
เทียบกับจีนที่ท่าทีตรงไปตรงมา
หรือตีความว่ารัฐบาลสหรัฐแต่ละชุดพยายามทำให้ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุดจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ภาษีทรัมป์ 50% เป็นแค่ฉากเล็กๆ ฉากหนึ่งเท่านั้น
สหรัฐกับอินเดียยังคงร่วมมือกันต่อไป
รัฐบาลสหรัฐทำได้เสมอถ้าต้องการหาเรื่องประเทศใดประเทศหนึ่ง ทรัมป์ 2.0
หวังข่มขู่กดดันอินเดียด้วยประเด็นเป็นพ่อค้าคนกลาง
ขายเชื้อเพลิงรัสเซียให้ประเทศอื่น
อาจตอบเรื่องนี้จากนโยบายหลักว่าอินเดียมีอธิปไตย ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จะร่วมมือสหรัฐ
จีนและรัสเซียพร้อมๆ กัน การใช้ภาษีแม้สร้างกระแสตกใจได้พักหนึ่ง
เสียหายส่วนหนึ่ง รัฐบาลอินเดียคำนวณแล้วว่าผลประโยชน์ที่ได้มากกว่าเสีย
เฉพาะอินเดียกับสหรัฐยังมีความร่วมมืออีกมากและน่าจะมากขึ้นอนาคต
สิ่งรัฐบาลอินเดียทำคือ
ประเมินสถานการณ์รอบด้าน คำนวนผลดีผลเสีย ความคุ้มค่า แค่สัมพันธ์กับจีนดีขึ้น
ชายแดนลดความตึงเครียด รัฐบาลปูตินหวังร่วมมือมากขึ้น เพิ่มอำนาจต่อรองอียู
แค่นี้น่าจะคุ้มค่าแล้ว
น่าชื่นชมรัฐบาลโมทีที่พยายามรักษาผลประโยชน์อินเดีย
มีความคิดอ่านลุ่มลึก สามารถฝ่าการสถานการณ์ช่วงชิงของมหาอำนาจ สร้างประโยชน์จากความขัดแย้งโลก
การตัดสินใจของผู้นำอินเดียมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย 1,500 ล้านคน
เป็นตัวอย่างแก่นานาชาติ
-------------
บรรณานุกรม :
1. Compelling case for more – not less – US-India chips
cooperation. (2025, October 9). Asia Times.
Retrieved from
https://asiatimes.com/2025/10/the-compelling-case-for-more-us-india-semiconductor-cooperation/
2. India’s Modi meets China’s top diplomat as Asian powers
rebuild ties. (2025, August 20).
The
Asahi Shimbun. Retrieved from https://www.asahi.com/ajw/articles/15975144
3. Modi’s American embrace backfires badly on India. (2025, August 11). Asia
Times. Retrieved from https://asiatimes.com/2025/08/modis-american-embrace-backfires-badly-on-india/
4. Russia says oil trade with India won’t be hit despite
Trump tariffs. (2025, August 21). Hindustan Times. Retrieved from
https://www.hindustantimes.com/india-news/russia-states-oil-trade-with-india-won-t-be-hit-101755716448842.html
5. Smiles and
Clasped Hands as Xi, Putin and Modi Try to Signal Unity. (2025, September
1). NYT.
Retrieved from
https://www.nytimes.com/2025/09/01/world/asia/china-xi-putin-modi.html
6. Trump orders
India tariff hike to 50% for buying Russian oil. (2025, August 6). BBC. Retrieved
from https://www.bbc.com/news/articles/c1dxr1g4y7yo
-----------------
.png)
