โครงการนิวเคลียร์อิหร่านกับสหรัฐ 2025 (3)

ในมุมอิสราเอล เป้าหมายสุดท้ายต้องล้มระบอบอิหร่านให้จงได้ ถ้าอยากจะเข้าใจการเจรจา ต้องเข้าใจเป้าหมายของกันและกัน

            แต่แรกเริ่มทรัมป์ 2.0 ตั้งเงื่อนไขว่าห้ามอิหร่านเสริมสมรถนะนิวเคลียร์ (zero enrichment) เช่น เสริมสมรถนะแร่ยูเรเนียมอันอาจนำสู่การสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ประกาศพร้อมใช้กำลังทหารกับอิหร่านหากการเจรจาล้มเหลว

            ต่อมาสหรัฐเปลี่ยนเงื่อนไขยอมให้เสริมสมรถนะนิวเคลียร์เพียงเล็กน้อย ซึ่งทางอิหร่านปฏิเสธ เนื่องจากการเสริมสมรถนะของตนกระทำภายใต้กรอบ IAEA ที่นานาชาติสามารถทำและเก็บใช้เพื่อประโยชน์ทางสันติ แต่เงื่อนไขของรัฐบาลสหรัฐเกินว่ามาตรฐานสหประชาชาติ หากยอมรับเงื่อนไขเท่ากับอิหร่านต้องขออนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ เท่ากับสูญเสียอธิปไตย

            เมษายน 2025 อิหร่านยื่นเงื่อนไขยอมให้เจ้าหน้าที่สหรัฐเข้าตรวจโครงการนิวเคลียร์ แลกกับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร (เดิมเจ้าหน้าที่ IAEA เท่านั้นเป็นผู้ตรวจ)

            แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว น่าสงสัยว่าทำไมไม่ยอมรับ

            ความจริงแล้วสหประชาชาติมีกลไก IAEA กำกับให้นานาชาติมีโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ เพียงแค่ดำเนินตามข้อตกลงแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action: JCPOA) ที่ลงนามเมื่อปี 2015 นานาชาติก็มั่นใจได้ว่าอิหร่านไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ลบข้อกังวลของสหรัฐกับอิสราเอล แปลกแต่จริงที่รัฐบาลทรัมป์กับอิสราเอลไม่ยอมรับการทำงานของ IAEA ไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ที่ลงนามแล้วในสมัยโอบามา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด สุ่มเสี่ยงทำสงคราม

            รัฐบาลสหรัฐกับอิสราเอลต้องการทำสงครามกับอิหร่านใช่หรือไม่

การเจรจาที่นำสู่วิกฤต:

            สหรัฐประกาศจุดยืนว่าหากการเจรจาล้มเหลว อิหร่านจะต้องโดนถล่มยับ เรื่องนี้อาจตีความว่าเป็นวิธีการพูด การเจรจาของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทุกคนคุ้นเคย ขณะเดียวกันอาจลงเอยด้วยความรุนแรงก็เป็นไปได้

            ในสงครามฮามาส-อิสราเอลมีการปะทะโดยตรงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ต่างยิงอาวุธใส่แผ่นดินของอีกฝ่าย แม้ปะทะเพียงหอมปากหอมคอ ระวังไม่ให้สงครามบานปลาย แต่ได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ปะทะโดยตรง นักวิเคราะห์เฝ้าระวังและตั้งคำถามว่าในที่สุดจะกลายเป็นสงครามใหญ่ กระทั่งเป็นสงครามล้างโลกดังที่นักวิชาการเอ่ยถึงหรือไม่

            ทรัมป์ 2.0 ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าว รัฐบาลเนทันยาฮูพูดเสมอว่าอยากโจมตีอิหร่าน เป็นตัวพาสถานการณ์เข้าสู่วิกฤต 2025 และน่าจะเป็นเช่นนี้อีกนาน ตราบเท่าที่อิหร่านไม่ยอมรับเงื่อนไขสหรัฐ

ทรัมป์เคยคิดใช้กำลังทหารกับอิหร่าน:

            ทรัมป์ 2.0 ขอเปิดเจรจารอบใหม่พร้อมกับขู่ว่าความตึงเครียดอาจนำสู่สงคราม เป็นหัวข้อที่ต้องวิเคราะห์และน่าติดตามมากที่สุด

            เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลประชาธิปไตยทรัมป์ 2.0 มาพร้อมกับการข่มขู่สารพัดถึงขั้นขู่ใช้กำลังทหาร

            ประกาศยึดคลองปานามาเป็นของสหรัฐ จนบริษัท CK Hutchison Holding ของจีนประกาศขายหุ้นท่าเรือของตนในปานามาแก่บริษัทสัญชาติอเมริกัน ข่มขู่จะขึ้นภาษีสินค้าเดนมาร์กอย่างหนักหากไม่ยอมขายกรีนแลนด์ให้ตน และอาจใช้มาตรการทางทหารถ้าจำเป็น ย้ำประเทศแคนาดาต้องสิ้นชาติเพื่อความรุ่งโรจน์แห่งยุคทองอเมริกา

            ย้อนหลังพฤษภาคม 2019 ทรัมป์ 1.0 เคยสั่งเคลื่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องรบ B-52, F-35, F-15 เตรียมพร้อมระบบต่อต้านขีปนาวุธ และกำลังพลจำนวนหนึ่งเข้าใกล้อ่าวเปอร์เซียเพื่อโจมตีอิหร่าน

            ในตอนนั้นประเทศโอมานส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศไปหารือกับอิหร่านทันที รายงานผลผ่านสื่อสั้นๆ ว่ามีโอกาสเกิดสงครามกระทบทั้งโลก ทั้งอเมริกากับอิหร่านต่างรับรู้อันตรายของสงคราม

            รัฐบาลทรัมป์ตีตราว่าอิหร่านคือภัยคุกคามสำคัญที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นรัฐอุปถัมภ์ก่อการร้าย ส่งเสริมกลุ่มก่อการร้ายอย่างฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส และกองกำลังมุสลิมชีอะห์จากหลายประเทศทั่วโลก พยายามพัฒนาขีปนาวุธ (ballistic missile) คิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แทรกแซงกิจการภายในของเพื่อนบ้าน ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

            แต่ในที่สุดทรัมป์สั่งระงับการโจมตี อ้างว่ากลัวประชาชนบาดเจ็บล้มตาย

            จะเห็นว่าการเจรจารอบปี 2025 อาจไม่หวังสงบสันติ แต่เป็นวิธีการนำสู่สงคราม เป็นวิธีรุกรานประเทศอื่น

อิหร่านไม่มีเส้นต้องห้าม:

            ที่ผ่านมาอิหร่านพยายามเลี่ยงสงคราม ตุลาคม 2024 ท่ามกลางสงครามฮิซบอลเลาะห์-อิสราเอลทวีความเข้มข้น หลายคนคิดว่าอิสราเอลอาจโจมตีอิหร่านในไม่ช้า Abbas Araghchi รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า อิหร่านไม่มีเส้นต้องห้าม (no red lines) ในการปกป้องประชาชนกับผลประโยชน์ของเรา รัฐบาลอิร่าน “พยายามสุดกำลัง ...ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามใหญ่” ที่ผ่านมายิงตอบโต้อิสราเอลแบบจำกัดขอบเขต ระวังไม่ให้สถานการณ์บานปลาย “เราเตรียมตัวรับมือสงคราม แต่ไม่ต้องการสงคราม เราต้องการสันติภาพ”

            วิเคราะห์: คำพูดของรัฐมนตรี Araghchi ฟังดูย้อนแย้ง เพราะผู้นำสูงสุดย้ำเสมอว่าอิหร่านไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับอิสราเอล ต้องถูกลบออกจากแผนที่โลก ขอยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ชาวปาเลสไตน์ สนับสนุนให้ฮามาส ฮิซบอลเลาะห์สู้กับอิสราเอลจนกว่าปลดปล่อยปาเลสไตน์ กรุงเยรูซาเล็ม มัสยิดอัล-อักซอร์ (Al-Aqsa Mosque) แต่เมื่อบรรยากาศเข้มข้นกับพูดว่า “ไม่ต้องการสงคราม เราต้องการสันติภาพ” ลึกๆ แล้วอิหร่านพร้อมรบใช่หรือไม่

            มีนาคม 2025 ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด Abbas Araghchi รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านกล่าวว่า อิหร่านพร้อมรบทุกรูปแบบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้ารบด้วย ประเทศใดที่คิดสู้กับอิหร่านจะคิดทบทวนอีกครั้งถึงการตอบโต้ ทั้งจากกองทัพจนถึงประชาชนอิหร่าน

            นับจากสงครามฮามาส-อิสราเอล กองทัพอิหร่านอยู่ในการเตรียมพร้อมตลอดเวลา ตระหนักว่าอิหร่านอาจได้รับผลพวงจากสงครามดังกล่าว และเป็นจริงตามนั้น นับจากวันนั้นจนวันนี้กองทัพอิหร่านตั้งมั่นเตรียมตัวรับมือเสมอ แน่นอนว่าอาวุธข้าศึกคงยิงมาจากสหรัฐกับอิสราเอล

ศัตรูที่อยู่ร่วมโลกไม่ได้:

            ความบาดหมางระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลเป็นเรื่องที่นานาชาติรับรู้กันทั่วไป เป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกไม่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากมุมมองศาสนา

            การทำลายล้างอิสราเอล ลบประเทศนี้ออกจากแผนที่โลกเป็นคำพูดที่ออกจากอิหร่านเป็นระยะ เช่น สมัยมาห์มุด อาห์มาดิเนจาด (Mahmoud Ahmadinejad) ประธานาธิบดีอิหร่านเคยกล่าวว่า “ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ระบอบไซออนิสต์จะต้องถูกทำลายราบในที่สุด”

            ด้านนายกฯ เนทันยาฮูกล่าวว่าการรุกรานของฮามาสเมื่อตุลาคม 2023 ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้นทันที วันต่อมาฮิซบอลเลาะห์ฉวยโอกาสโจมตีจากเลบานอน ถึงวันนี้พวกเขายิงจรวดนานาชนิดใส่เรา พ่วงด้วยพวกฮูตีในเยเมน กองกำลังชีอะห์ในซีเรียกับอิรักดังที่ทุกคนรับรู้

            การโจมตีเหล่านี้อิหร่านเป็นผู้หนุนหลัง นโยบายของอิหร่านทำร้ายตะวันออกกลาง จำต้องหยุดอิหร่านให้จงได้และต้องหยุดเดี๋ยวนี้ นายกฯ เนทันยาฮูกล่าวว่า “ถ้าอิหร่านมีเสรี (เป็นประชาธิปไตย) ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไป และคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ในไม่ช้า” เมื่อนั้น “ชาวยิวกับเปอร์เซีย อิสราเอลกับอิหร่านจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ”

            แต่ไหนแต่ไรนายกฯ เนทันยาฮูยึดจุดยืนนี้ ย้ำว่าอิสราเอลไม่มีปัญหาอะไรกับชาวอิหร่านแต่ระบอบอิหร่านจะต้องล้มในที่สุด และเมื่อนั้นทั้งคนอิสราเอลกับชาวอิหร่านจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

            ในสายตาอิสราเอล อิหร่านเป็นปรปักษ์หลัก ต้นเหตุความขัดแย้ง เป้าหมายสุดท้ายต้องล้มระบอบอิหร่านให้จงได้

            ถ้าอยากจะเข้าใจการเจรจา ต้องเข้าใจเป้าหมายของกันและกันก่อน

8 มิถุนายน 2025
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 29 ฉบับที่ 10431 วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568)

------------------

บรรณานุกรม :

1. Hitchcock, Mark. (2006) Iran: The Coming Crisis: Radical Islam, Oil, and the Nuclear Threat. CO: Multnomah Books.

2. Iran Ready to Make Nuclear Program More Transparent in Exchange for Lifting Sanctions. (2025, April 22). Sputnik globe. Retrieved from https://sputnikglobe.com/20250422/iran-ready-to-make-nuclear-program-more-transparent-in-exchange-for-lifting-sanctions-1121908941.html

3. Iran’s Supreme Leader Rejects U.S. Nuclear Deal Offer. (2025, June 4). WSJ. Retrieved from https://www.tehrantimes.com/news/513894/Leader-Iran-s-nuclear-enrichment-is-none-of-America-s-business

4. No one can even think of attack on Iran, FM asserts. (2025, March 24). Tehran Times. Retrieved from https://www.tehrantimes.com/news/511179/No-one-can-even-think-of-attack-on-Iran-FM-asserts

5. ‘No red lines’ in conflict with Israel, Iran foreign minister says. (2024, October 13). Politico. Retrieved from https://www.politico.eu/article/israel-iran-foreign-minister-abbas-araghchi-defense-war/

6. Oman trying to reduce US-Iran tensions: foreign ministry tweet. (2019, May 24). Arab News. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1501476/middle-east

-----------------