รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

แม้ไม่เหมือนองค์กรนาโต เครือข่ายความมั่นของสหรัฐในอินโด-แปซิฟิกมีอยู่จริง อยู่ร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งระดับทวิภาคี พหุภาคี แต่หลายประเทศร่วมมือมหาอำนาจอื่นด้วยเป็นโครงสร้างความมั่นคงภูมิภาคที่ซับซ้อน
“รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy Report: IPSR) ของกระทรวงกลาโหม ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน 2019 มีสาระสำคัญดังนี้
            สหรัฐอเมริกามีประวัติศาสตร์อันยาวนานเรื่องการส่งเสริมเสรีภาพ การเปิดกว้างและโอกาสแก่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เปิดสัมพันธ์การค้ากับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ทำสนธิสัญญาป้องกันประเทศกับหลายประเทศ และนับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาสหรัฐเป็นผู้วางระบบที่นำเสถียรภาพแก่ภูมิภาคและจะแสดงบทบาทสำคัญนี้ต่อไป
            วิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คือ “อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” (free and open Indo-Pacific) โดยยึดหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1.เคารพอธิปไตยและอิสรภาพของประเทศต่างๆ 2.แก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี 3.การค้าที่เปิดเสรี เป็นธรรมและต่างตอบแทน 4.ยึดถือกฎกติการะหว่างประเทศ
            วิสัยทัศน์นี้หวังสร้างระเบียบภูมิภาคที่ทุกชาติสามารถป้องกันผลประโยชน์ของตนพร้อมกับแข่งขันในตลาดอย่างยุติธรรม ปราศจากการครอบงำโดยชาติหนึ่งชาติใด
            สหรัฐมีค่านิยมและความเชื่อของตัวเองแต่จะไม่พยายามยัดเยียดวิถีของตนแก่ผู้อื่น ถือว่าประเทศต่างๆ มีความรับผิดชอบต่อการรักษาระเบียบภูมิภาค พันธมิตรและหุ้นส่วนของสหรัฐจึงต้องช่วยแบ่งเบาภาระอย่างยุติธรรม รวมทั้งเรื่องการลงทุนขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ
ทิศทางและความท้าทาย :
ในศตวรรษที่ 21 นี้จีนกำลังก้าวขึ้นมาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและการทหาร แม้ได้ประโยชน์จากภูมิภาคแต่ผู้นำจีนจากพรรคคอมมิวนิสต์บั่นทอนระบบระหว่างประเทศ เบียดบังเอาประโยชน์และค่อยๆ ทำลายค่านิยมและหลักการต่างๆ กดขี่ชาติพันธุ์มุสลิมในประเทศตัวเอง ละเมิดบรรทัดฐานระหว่างประเทศ ขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ติดอาวุธทะเลจีนใต้ในพื้นที่พิพาท กดดันประเทศอื่นด้วยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ
เมื่อจีนก้าวขึ้นมาจะแสวงหาความเป็นเจ้าในภูมิภาคและเป็นเจ้าโลกในที่สุด ดูได้จากการที่จีนพัฒนาอาวุธต่างๆ การส่งกองกำลังไปที่ต่างๆ พัฒนากองกำลังอาวุธนิวเคลียร์ ด้านไซเบอร์ อวกาศ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ anti-access/area denial (A2/AD) ติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือและขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่หมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly Islands) ส่งเรือและเครื่องบินตรวจตราหมู่เกาะเซนกากุ (Senkaku Islands) ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทเพื่อแสดงการครอบครอง เป็นตัวอย่างพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อการขนส่งสินค้าเสรี คุกคามอธิปไตยประเทศอื่น บ่อนทำลายเสถียรภาพภูมิภาค สวนทางกับหลักการเปิดเสรี จีนค่อยๆ คืบคลานเข้าควบคุมพื้นที่พิพาท ศักยภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้นเป็นภัยคุกคามไต้หวันด้วย
จีนใช้อำนาจเศรษฐกิจ การทูต การทหารชักนำให้ประเทศอื่นๆ ทำตามวาระที่ตนกำหนด โครงการเศรษฐกิจหลายโครงการเป็นโทษต่อประเทศที่ร่วมโครงการถึงขั้นกระทบอธิปไตย ใช้วิธีเลี่ยงกลไกตลาดเพื่อให้โครงการที่ต่ำกว่ามาตรการผ่านการพิจารณา มีหลักฐานเรื่องการติดสินบน เลี่ยงการจ้างบริษัทกับแรงงานท้องถิ่น สร้างโครงการที่เข้าควบคุมพื้นที่ยาวนานถึง 99 ปี
รัฐบาลสหรัฐไม่ต่อต้านการลงทุนของจีนตราบเท่าที่เคารพอธิปไตย หลักนิติธรรม โปร่งใส
            รัสเซียเป็นอีกประเทศที่ผลประโยชน์กับอิทธิพลกำลังขยายตัวในภูมิภาคนี้ อันเป็นผลจากนโยบายและความก้าวหน้าทางทหาร พยายามกลับมาแสดงตัวในภูมิภาค สอดคล้องกับนโยบายแผ่ขยายอิทธิพลทั่วโลก หวังตอบสนองผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ บ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐและระเบียบโลกที่ยึดกฎกติกา
            รัสเซียใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ การทูต การทหารเพื่อบรรลุการแผ่อิทธิพลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เสาะหาลูกค้าซื้อพลังงานกับอาวุธ พยายามแสดงตัวเป็น “หุ้นส่วนที่ 3” ที่ไม่ใช่สหรัฐหรือจีน ฟื้นฟูกองกำลังนิวเคลียร์ของตนในย่านนี้
            จีนกับรัสเซียร่วมมือกันในหลายมิติ จีนเพิ่มการลงทุนในรัสเซียและเป็นลูกค้าซื้อพลังงานรายใหญ่ ซื้ออาวุธทันสมัยล่าสุด ร่วมกันต่อต้านสหรัฐในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หวังสร้างระเบียบโลกพหุภาคีที่ลดอิทธิพลสหรัฐ
            เกาหลีเหนือยังเป็นประเด็นท้าทายตราบเท่าที่ยังไม่ปลอดนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ รวมทั้งอาวุธอำนาจทำลายร้ายแรงต่างๆ (weapons of mass destruction) ขีปนาวุธ มีประวัติแพร่กระจายอาวุธเหล่านี้แก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิหร่านกับซีเรีย พยายามพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ยิงไกลถึงสหรัฐ ทั้งยังมีเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
            กองทัพเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น แสดงท่าทีใช้กำลังเรื่อยมา หลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร รัฐบาลทรัมป์ใช้วิธีการทูตระดับผู้นำประเทศหวังให้โอกาสแก่เกาหลีเหนือ สหรัฐจะยังคงมาตรการคว่ำบาตรกดดันให้เกาหลีเหนือปลอดนิวเคลียร์
            ส่วนภัยคุกคามข้ามชาติ เช่น การก่อการร้าย อาวุธเถื่อน ยาเสพติด การค้ามนุษย์ โจรสลัด การประมงผิดกฎหมาย ภัยธรรมชาติต่างๆ เป็นอีกส่วนที่สหรัฐให้ความสำคัญ
ผลประโยชน์และยุทธศาสตร์ :
ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของกระทรวงกลาโหมสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความมั่นแห่งชาติ 2017 (National Security Strategy) และยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ 2018 (National Defense Strategy) สหรัฐหวังช่วยให้ประเทศต่างๆ ในอินโด-แปซิฟิกดำรงความเป็นอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน มีเสรีภาพและความมั่งคั่ง หากสมดุลอำนาจภูมิภาคเปลี่ยนไปในทางลบจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน บั่นทอนระเบียบที่เสรีและเปิดกว้าง ซึ่งจำต้องอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรและหุ้นส่วนที่มีความคิดคล้ายกัน ไม่มีประเทศใดสามารถทำได้โดยลำพัง
            เพื่อบรรลุเป้าหมายข้างต้น ได้กำหนดแนวทางหลัก 3 ประการ (หรือ 3P)
            ประการแรก เตรียมพร้อม (Preparedness) กองทัพต้องพร้อมเอาชนะทุกความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น โดยร่วมกับพันธมิตร หุ้นส่วนทั้งหลาย ตามหลักการใช้ความเข้มแข็งนำสันติภาพ (peace through strength)
            ประการที่ 2 ความเป็นหุ้นส่วน (Partnerships) ร่วมมือกับกองกำลังของพันธมิตรและประเทศหุ้นส่วน พร้อมกับแสวงหาหุ้นส่วนใหม่ๆ ซึ่งการเป็นหุ้นส่วนนี้รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย
            ประการที่ 3 ส่งเสริมเครือข่ายในภูมิภาค (Promotion of a Networked Region) ร่วมมือกับพันธมิตรและประเทศหุ้นส่วนเป็นโครงสร้างความมั่นคงที่ยึดกติกาสากล ป้องปรามการรุกราน รักษาเสถียรภาพ สร้างเครือข่ายความมั่นคงทั้งจากข้อตกลงทวิภาคี ไตรภาคีและพหุภาคี
            ในการนี้กระทรวงกลาโหมจะสนับสนุนพัฒนากองทัพญี่ปุ่นให้ทันสมัยต่อเนื่อง สหรัฐจะประจำการหน่วยรบที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ปัจจุบันมีทหารในญี่ปุ่น 54,000 นาย
            ประเทศอื่นๆ ที่พูดถึงในฐานะพันธมิตรได้แก่ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ไทย
            สหรัฐกับอินเดียมีความเห็นร่วมกันว่าจะต้องส่งเสริมการพัฒนาที่ยึดหลักกติกาสากล เป็นภูมิภาคที่เปิดกว้าง เกือบครึ่งหนึ่งของเรือพาณิชย์ทั้งโลกผ่านเส้นทางนี้ เช่นเดียวกับน้ำมัน 2 ใน 3 ที่ซื้อขายทั่วโลกต้องอาศัยเส้นทางดังกล่าว
            อินเดียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้านของสหรัฐ เป็นหุ้นส่วนหลักด้านการป้องกันประเทศ (Major Defense Partner) รัฐบาลสหรัฐมีความปรารถนาที่จะยกระดับเป็นพันธมิตรต่อกัน
            นอกจากจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือแล้ว รัฐบาลสหรัฐ กระทรวงกลาโหมตั้งใจเพิ่มขยายความร่วมมือกับประเทศทั้งหลายให้มากขึ้น และสนับสนุนโครงสร้างความมั่นคงภูมิภาคที่ยึดความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) ตามแนวทางอาเซียน
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
            ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกเอ่ยถึงโครงสร้างความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกที่รัฐบาลสหรัฐคาดหวังและที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หลายส่วนเป็นผลพวงจากสัมพันธภาพจากประวัติศาสตร์ สนธิสัญญา ข้อตกลงมากมายที่ทำไว้กับหลายประเทศ แม้ไม่ประกาศชัดแบบองค์กรนาโต เครือข่ายความมั่นของสหรัฐในอินโด-แปซิฟิกมีอยู่จริง อยู่ร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งระดับทวิภาคี ไตรภาคีและพหุภาคี  
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศไม่ได้ร่วมมือกับสหรัฐเท่านั้น ยังร่วมมือกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ ประเทศอื่นๆ พร้อมๆ กัน เป็นโครงสร้างความมั่นคงภูมิภาคที่ซับซ้อน
รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกพูดจากมุมมองของรัฐบาลสหรัฐ สำคัญกว่าเนื้อหาที่ดูดีคือการปฏิบัติจริง หากขัดแย้งกันรายงานนี้จะกลายเป็นหลักฐานในตัวเองเช่นกัน
7 กรกฎาคม 2019
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ สถานการณ์โลกไทยโพสต์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 8274 วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2562)
-----------------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง : 
มุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก
อาเซียนเสนอเอกสาร “มุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก” หวังนำอนุทวีปอินเดียเข้ามาเชื่อมต่อกับเอเชียแปซิฟิกให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น คงหลักอาเซียนเป็นแกนกลาง เน้นความร่วมมือแทนการทำลายล้าง
บรรณานุกรม :
US Department of Defense. (2019, June 1). Indo-Pacific Strategy Report: Preparedness, Partnerships, and Promoting a Networked Region. Retrieved from https://media.defense.gov/2019/May/31/2002139210/-1/-1/1/DOD_INDO_PACIFIC_STRATEGY_REPORT_JUNE_2019.PDF